หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2563

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2563

กลับหน้าหลัก
11.12.2563 | จำนวนผู้เข้าชม 927

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2563

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2563 มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 20.81 (ร้อยละ 21.13 ในหน่วยของเงินบาท) จากเดิมในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 ที่มีมูลค่า 13,974.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (434,753.49 ล้านบาท) มาอยู่ที่ 16,882.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (526,596.04 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 1 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.78 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 3,885.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (120,181.94 ล้านบาท) ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 43.69 (ร้อยละ 44.04 ในหน่วยของเงินบาท) อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) รายเดือน พบว่าเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 และเติบโตต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 23.29 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน 2563

ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2563

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

สถานการณ์การส่งออก

การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ เติบโตร้อยละ 20.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป ในสัดส่วนราวร้อยละ 77 ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 83.74 เนื่องจากมูลค่าการส่งออกทองคำฯ สะสมใน 2 ไตรมาสแรกที่เติบโตสูงมาก ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น จึงส่งออกเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคา ในขณะที่การส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการลดลงไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับแท้ เพชร และพลอยสี อันเนื่องมาจากความต้องการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยชะลอตัวลง จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ในหลายประเทศทั่วโลกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาการส่งออกสินค้าเฉพาะเดือนตุลาคม 2563 เทียบกับเดือนกันยายน 2563 (ดังตารางที่ 2)พบว่าสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุด คือ เครื่องประดับแท้ มีสัดส่วนร้อยละ 40.23 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวม ด้วยมูลค่าเติบโตร้อยละ 15.40 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.07 เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เยอรมนี ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ตลาดสำคัญในอันดับที่ 1, 2, 3 และ 5 ได้สูงขึ้นร้อยละ 6.89, ร้อยละ 15.72, ร้อยละ 69.88 และร้อยละ 55.81 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังจีน ตลาดในอันดับที่ 4 ยังคงหดตัวลงร้อยละ 48.74 การส่งออก เครื่องประดับทอง เติบโตร้อยละ 18.43 อันเป็นผลจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ตลาดหลักใน 5 อันดับแรก ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.97, ร้อยละ 5.63, ร้อยละ 6.03,ร้อยละ 8.55 และร้อยละ 16.41 ตามลำดับ ส่วนการส่งออก เครื่องประดับแพลทินัม ขยายตัวร้อยละ 30.14 จากการส่งออกไปยังตลาดหลักใน 4 อันดับแรกอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และฮ่องกง ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.53, 1.08 เท่า, ร้อยละ 97.23 และร้อยละ 27.37 ตามลำดับ สำหรับการส่งออกไปยังสหราชอาณาจักร ตลาดในอันดับ 5 ปรับตัวลดลงร้อยละ 53.40 

ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับ 2 ในสัดส่วนร้อยละ 30.20 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม หากแต่มีมูลค่าลดลงมากถึงร้อยละ 54.46 เนื่องจากราคาทองคำเฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,900.27 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) ในเดือนตุลาคม โดยมีปัจจัยกดดัน จากการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น นักลงทุนจึงเทขายสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ และหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าแทน

เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.06 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ขยายตัวได้ร้อยละ 4.09 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ มีมูลค่าเติบโตร้อยละ 4.53 จากการส่งออกไปยังอินเดีย เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา ตลาดในอันดับ 2 – 4 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.53, ร้อยละ 14.10 และร้อยละ 17.20 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังฮ่องกงและสหรัฐ-อาหรับเอมิเรตส์ ตลาดในอันดับ 1 และ 5 หดตัวลงร้อยละ 14.31 และร้อยละ 22.46 ตามลำดับ

พลอยสี สินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 ในสัดส่วนร้อยละ 6.10 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย ขยายตัวร้อยละ 22.86 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) เติบโตร้อยละ 23.85 จากการส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และอินเดีย ตลาดในอันดับ 1, 3, 4 และ 5 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 61.37, ร้อยละ 13.99, ร้อยละ 74.75 และร้อยละ 49.79 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ตลาดในอันดับ 2 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 11.15 พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.02 อันเป็นผลจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ และเยอรมนี ตลาดในอันดับ 2-5 ได้สูงขึ้นร้อยละ 24.15, 1.98 เท่า, ร้อยละ 27.81 และ 1.03 เท่า ตามลำดับ ในขณะที่การส่งออกไปยังฮ่องกง ตลาดหลักอันดับ 1 ปรับตัวลดลงร้อยละ 10.90 

เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.84 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.55 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดหลักใน 5 อันดับแรกอย่างลิกเตนส์ไตน์ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร ได้เพิ่มขึ้นกว่า 1.17 เท่า, ร้อยละ 29.98, ร้อยละ 29.03, ร้อยละ 3.92 และ 1.10 เท่า ตามลำดับ

ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2563

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

เมื่อพิจารณาสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับส่งออกรายการสำคัญรายเดือน (ดังแผนภาพที่ 1) พบว่า การส่งออกสินค้าสำคัญทั้งเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน รวมถึงเครื่องประดับเทียม เริ่มปรับตัวลดลงมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสโควิดแพร่ระบาดอย่างหนักในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทำให้หลายประเทศต้องล็อคดาวน์ประเทศ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการขนส่งจึงหยุดชะงักลง แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ไตรมาส 3 เดือนกรกฎาคม 2563 การส่งออกสินค้าสำคัญทั้ง 6 รายการดังกล่าวทยอยฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และเติบโตได้สูงในเดือนตุลาคมเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังจากหลายประเทศคลายล็อกดาวน์ และดำเนินธุรกิจเกือบเป็นปกติ ทำให้มีแรงซื้ออัญมณีและเครื่องประดับกลับมา 

แผนภาพที่ 1 แสดงมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายการสำคัญรายเดือน ปี 2563

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.29 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า จากการส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เยอรมนี อินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สิงคโปร์ และเบลเยียม ตลาดในอันดับ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 9 และ 10 ซึ่งต่างมีมูลค่าเติบโตร้อยละ 13.53, ร้อยละ 21.83, ร้อยละ 15.90, 1.06 เท่า, 1.26 เท่า, ร้อยละ 4.18, ร้อยละ 17.47, 1.17 เท่า และร้อยละ 16.41 ตามลำดับ (ดังแผนภาพที่ 2)

การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาที่เติบโตนั้น เป็นผลจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการไปยังตลาดนี้ได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน เครื่องประดับเทียม และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ที่ต่างขยายตัวร้อยละ 6.89, ร้อยละ 22.97, ร้อยละ 17.20, ร้อยละ 29.98 และร้อยละ 24.15 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว และชาวสหรัฐฯ ซื้อสินค้าเป็นของขวัญไว้มอบในเทศกาลสำคัญปลายปี ทั้งนี้ จากผลการสำรวจของ National Retail Federation ระบุว่าในเดือนตุลาคมชาวสหรัฐฯ ซื้อสินค้าเพิ่มสูงสุดในรอบ 6 เดือน และซื้อของขวัญในเดือนดังกล่าวสำหรับไว้มอบในเทศกาลวันหยุดปลายปีเร็วขึ้นถึงร้อยละ 42

มูลค่าการส่งออกไปยังฮ่องกงที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มทยอยฟื้นตัวและกลับมานำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับเพิ่มขึ้น หลังจากชะลอการนำเข้าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ จากผลกระทบการล็อคดาวน์ประเทศอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ฮ่องกงซึ่งเป็นผู้นำเข้าและส่งออกต่อจึงนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น โดยสินค้าที่เติบโตได้ในตลาดนี้ ได้แก่ เครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับเงิน

การส่งออกไปยังเยอรมนีที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน ในสัดส่วนราวร้อยละ 79 และสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเครื่องประดับทอง ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.72 และร้อยละ 46.85 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นการลงทุนและการบริโภค รวมถึงการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม

ส่วนมูลค่าการส่งออกไปยังอินเดียที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญเกือบทุกรายได้สูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นเพชรเจียระไน โลหะเงิน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน เครื่องประดับ-ทอง พลอยก้อน และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ตามลำดับ

การส่งออกไปยังออสเตรเลียที่เติบโตนั้น เนื่องจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน สินค้าหลักในสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่ง และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างโลหะเงิน และเครื่องประดับทอง ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก

ขณะที่การส่งออกไปยังญี่ปุ่นที่ขยายตัวได้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่เติบโตเป็นบวกในไตรมาส 3 ชาวญี่ปุ่นจึงมีความเชื่อมั่นในการบริโภคสินค้ามากขึ้น ทั้งนี้ สินค้าส่งออกไปยังตลาดนี้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูปอย่างเครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม เครื่องประดับเงิน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันเกือบร้อยละ 57 และมีมูลค่าขยายตัวได้ดี อีกทั้งไทยยังสามารถส่งออกสินค้ากึ่งสำเร็จรูปอย่างพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

แผนภาพที่ 2 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนตุลาคม ปี 2563

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มูลค่าการส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการไปได้เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน รวมถึงเครื่องประดับเทียม

ส่วนการส่งออกไปยังสิงคโปร์ ตลาดหนึ่งเดียวในอาเซียนที่เติบโตได้นั้น จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่าและเศษโลหะมีค่า รวมถึงเครื่องประดับ-ทอง เครื่องประดับเงิน ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญถัดมาได้เพิ่มสูงขึ้น

มูลค่าการส่งออกไปยังเบลเยียมที่ขยายตัวนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน ในสัดส่วนราวร้อยละ 90 และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง ได้เพิ่มขึ้น

สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดสำคัญในอันดับ 8 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.12 จากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนและพลอยเนื้อแข็งเจียระไนได้ลดลงมาก ส่วนสินค้าที่ยังเติบโตได้ในตลาดนี้คือ เครื่องประดับทอง

บทสรุป

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.81 (ร้อยละ 21.13 เมื่อพิจารณาในหน่วยเงินบาท) แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำฯ จะพบว่าลดลงร้อยละ 43.69 (ร้อยละ 44.04 เมื่อพิจารณาในหน่วยเงินบาท) และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำฯ และมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ส่งกลับจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิปรับตัวลดลงร้อยละ 42.77 (ร้อยละ 43.11 เมื่อพิจารณาในหน่วยเงินบาท) แต่หากพิจารณาเดือนตุลาคม ปี 2563 เทียบกับเดือนกันยายน พบว่า มูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยไม่รวมทองคำฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.29 และหากหักด้วยมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ส่งกลับจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ พบว่า มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ร้อยละ 25.37 ดังตารางที่ 3 

ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2563

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทยในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ที่ลดลงนั้น เนื่องจากการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปีที่ลดลงมากจากผลกระทบการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตาม การส่งออกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และเติบโตสูงมากในเดือนตุลาคม 2563 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจของสองตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ ที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น และจีน เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตมากขึ้นทั้งด้านการใช้จ่ายและภาคบริการ อีกทั้งผู้บริโภคในหลายประเทศเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นหลังจากอัดอั้นมานานในช่วงของการล็อคดาวน์ประเทศ รวมถึงการทยอยซื้อสินค้าเก็บไว้เป็นของขวัญสำหรับมอบให้คนพิเศษในช่วงเทศกาลสำคัญในช่วงปลายปีนี้

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามในช่วงที่เหลือของปีนี้  ได้แก่ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบสอง ในสหรัฐฯ ยุโรป นำไปสู่การใช้มาตรการล็อคดาวน์ประเทศอีกรอบในหลายประเทศในยุโรป และการดำเนินนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ รวมถึงเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่อยู่ในทิศทางแข็งค่า ซึ่งจะส่งผลให้ไทยสูญเสียโอกาสในการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม การส่งออกของไทยยังได้รับปัจจัยบวกอยู่บ้างในไตรมาส 4 จากมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลก ที่จะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลสำคัญปลายปี และสต๊อกเป็นสินค้าสำหรับจำหน่ายในปีหน้า รวมถึงการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา ก็นับเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถขยายการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับได้

ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

นำเข้าส่งออกอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, GIT, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2563, ม.ค.-ต.ค., สะสม 10 เดือน