สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567 ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 57.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่มีมูลค่า 1,927.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 3,031.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 2 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.59 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้น หักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 1,822.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 14.78
ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566 และปี 2567
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การส่งออก
สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในสองเดือนแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.90 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 255.46 โดยราคาทองคำในเดือนกุมภาพันธ์ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 2,023.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (World Gold Council) โดยราคาทองคำที่ลดลงได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานาน ทั้งยังไม่มีปัจจัยชี้นำที่สำคัญเข้ามาทำให้นักลงทุนมีการเทขายทองคำทำกำไรระยะสั้น รวมทั้งกองทุนทองคำ SPDR ซึ่งขายทองคำสุทธิ 27.38 ตัน ในเดือนกุมภาพันธ์
เครื่องประดับแท้ เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 2 ด้วย สัดส่วนร้อยละ 28.49 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและ เครื่องประดับไทยโดยรวม เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.88 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับทอง ขยายตัวได้ร้อยละ 12.77 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา กาตาร์ อิตาลี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดสำคัญใน 5 อันดับแรก ได้สูงขึ้นร้อยละ 38.42, ร้อยละ 13.22, ร้อยละ 31.79, ร้อยละ 9.09 และร้อยละ 35.07 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกเครื่องประดับเงิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.29 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญใน 4 อันดับแรก อย่างสหรัฐอเมริกา เยอรมนี อินเดีย และสหราชอาณาจักร เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.29, ร้อยละ 22.37, ร้อยละ 978.25 และร้อยละ 5.36 ตามลำดับ ขณะที่ออสเตรเลีย ตลาดอันดับที่ 5 ลดลงร้อยละ 8 ขณะที่การส่งออกเครื่องประดับแพลทินัม หดตัวลงร้อยละ 51.96 มาจากการส่งออกไปยังญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร ตลาดสำคัญอันดับ 1 และ 4 ได้ลดลง ร้อยละ 8.21 และร้อยละ 40.22 ตามลำดับ ส่วนตลาดอันดับที่ 2-3 และ 5 อย่างฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย เพิ่มขึ้นร้อยละ 297.98, ร้อยละ 12.18 และร้อยละ 34.48 ตามลำดับ
พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 มีสัดส่วนร้อยละ 17.87 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.14 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ เป็นพลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.78 เป็นผลจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญอันดับ 1-2 และ 4 อย่างฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และเบลเยียม สามารถเติบโตได้ร้อยละ 27.29, ร้อยละ 10.70 และร้อยละ 3,379.43 ตามลำดับ ส่วนอิตาลีและสวิตเซอร์แลนด์ ตลาดอันดับที่ 3 และ 5 ลดลงร้อยละ 22.97 และร้อยละ 7.36 ตามลำดับ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.63 เนื่องจากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกาและอิตาลี ตลาด ใน 3 อันดับแรก ได้เพิ่มร้อยละ 58.05, ร้อยละ 38.32 และ ร้อยละ 2.68 ตามลำดับ ส่วนตลาดสำคัญอันดับที่ 4-5 ทั้งสวิตเซอร์แลนด์และญี่ปุ่น ปรับตัวลงร้อยละ 9.71 และร้อยละ 21.81 ตามลำดับ
เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 4 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.28 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณี และเครื่องประดับไทย ขยายตัวได้ร้อยละ 7.93 โดยมีเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.24 จากการส่งออกไปยังตลาดอันดับ 1-2 และ 4 อย่างฮ่องกง อินเดีย และอิสราเอล ได้สูงขึ้นร้อยละ 31.34, ร้อยละ 11.71 และร้อยละ 6.67 ตามลำดับ ส่วนเบลเยียมและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตลาดในอันดับ 3 และ 5 ลดลงร้อยละ 7.45 และร้อยละ 58.28 ตามลำดับ
เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.60 เติบโตได้ร้อยละ 13.47 เป็นผลจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เบลเยียม และฝรั่งเศส ตลาดสำคัญใน 4 อันดับแรก ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.42, ร้อยละ 12.01, ร้อยละ 3,975.04 และร้อยละ 3.85 ตามลำดับ ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ ตลาดอันดับที่ 5 ลดลงร้อยละ 5.50
มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567 ขยายตัวได้ร้อยละ 14.78 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย อย่างฮ่องกง สหรัฐอเมริกา อินเดีย เยอรมนี กาตาร์ เบลเยียม สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 34.90, ร้อยละ 8.46, ร้อยละ 84.95, ร้อยละ 15.85, ร้อยละ 27.41, ร้อยละ 70.30, ร้อยละ 2.76 และร้อยละ 15.27 ตามลำดับ ส่วนตลาดอันดับที่ 5 และ 9 อย่างอิตาลีและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ลดลงร้อยละ 0.03 และร้อยละ 16.70 ตามลำดับ
ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้า ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566 และปี 2567
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มูลค่าการส่งออกไปยัง ฮ่องกง ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน รวมทั้งสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ได้สูงขึ้นร้อยละ 27.29, ร้อยละ 38.42 ร้อยละ 31.34 และร้อยละ 58.05 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับเงิน หดตัวลงร้อยละ 3.86
การส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้เพิ่มขึ้น ทั้ง เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 56 รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้สูงขึ้นร้อยละ 7.29, ร้อยละ 13.22, ร้อยละ 10.70 และร้อยละ 38.32 ตามลำดับ ส่วนเพชรเจียระไน ลดลงร้อยละ 49.12
สำหรับการส่งออกไป อินเดีย ซึ่งเติบโตได้นั้น จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน ที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 42 ได้สูงขึ้นร้อยละ 978.25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการส่งออกเพียงเล็กน้อย รวมทั้งสินค้ารองลงมาอย่างเพชรเจียระไนและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.71 และร้อยละ 26.82 ตามลำดับ ส่วนอัญมณีสังเคราะห์และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ปรับตัวลดลง
ส่วนการส่งออกไปยัง เยอรมนี ที่ขยายตัวได้นั้น เป็นผลจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน (ซึ่งเป็นสินค้าหลักครองสัดส่วนถึงร้อยละ 77) ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.37 รวมทั้งเครื่องประดับทอง พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเทียม มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.05, ร้อยละ 8.33 และร้อยละ 29.63 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ลดลงร้อยละ 24.95
ขณะที่การส่งออกไป กาตาร์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง (มีสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 99.89) ได้สูงขึ้นร้อยละ 31.79
มูลค่าการส่งออกไปยัง เบลเยียม ซึ่งเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไนได้สูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการส่งออกน้อย รวมทั้งเครื่องประดับเทียมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน (ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 49) หดตัวลงร้อยละ 7.45
การส่งออกไป สหราชอาณาจักร ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน (ที่มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 81) และสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.77, ร้อยละ 5.36 และร้อยละ 18.93 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับเทียมและพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน หดตัวลงร้อยละ 13.74, ร้อยละ 43.20 และร้อยละ 31.68 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง รวมทั้งสินค้าสำคัญรองมาทั้งเพชรเจียระไนและเครื่องประดับเงิน ได้สูงขึ้นร้อยละ 30.24, ร้อยละ 32.09 และร้อยละ 33.56 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับแพลทินัม ปรับตัวลงร้อยละ 8.21
ส่วนการส่งออกไป อิตาลี ซึ่งปรับตัวลดลง เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไนลดลง ร้อยละ 22.97 ส่วนสินค้าสำคัญอื่น ๆ ทั้งเครื่องประดับทอง พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เครื่องประดับเงิน และเครื่องประดับเทียม ยังขยายตัวได้ร้อยละ 9.09, ร้อยละ 2.68, ร้อยละ 11.66 และร้อยละ 235.92 ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หดตัวลงจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้ลดลงร้อยละ 58.28 และร้อยละ 42.89 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับทอง พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ยังขยายตัวได้ร้อยละ 35.07, ร้อยละ 47 และร้อยละ 51.77 ตามลำดับ
แผนภาพที่ 1 แผนภาพแสดงตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
บทสรุป
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยระหว่าง เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี 2567 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 57.26 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.78 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำและมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิขยายตัวได้ร้อยละ 12.12 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3 โดยสินค้าสำคัญหลายรายการอย่าง เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อน เจียระไน เพชรเจียระไน เครื่องประดับเทียม ล้วนเติบโตได้ดี
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาภาพรวมในปี 2567 นั้น นักวิเคราะห์คาดว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะลดลงมาอยู่ที่ ร้อยละ 2-2.5 ภายในสิ้นปีนี้ซึ่งใกล้เคียงกับระดับเป้าหมายของเฟด โดยอัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ในระดับนี้และจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ส่วนองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ร้อยละ 2.9 ในปี 2567 และจะเติบโตเป็นร้อยละ 3 ในปี 2568 โดยเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวและเติบโตขึ้นในหลายส่วนอัตราเงินเฟ้อในประเทศกลุ่ม G20 ส่วนใหญ่คาดว่าจะกลับสู่ระดับเป้าหมายของธนาคารกลางภายในสิ้นปี 2568 ทั้งนี้ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นต้นเหตุของความไม่แน่นอนที่ต้องติดตามต่อไป
ทั้งนี้ สถานการณ์ส่งออกในสองเดือนแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสามารถเติบโตได้ดีในหลายตลาด เนื่องจากการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความเชื่อมั่นด้านการบริโภคที่กลับมาสะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลกที่อยู่ในระดับขยายตัวต่อเนื่องจาก 50.7 มาอยู่ที่ ระดับ 51.5 รวมทั้งมีการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศที่สำคัญ อย่างฮ่องกงและกาตาร์ ทำให้ดึงดูดการบริโภคเพิ่มขึ้นสอดรับกับช่วงเทศกาลต้นปี นอกจากนี้ ด้วยการเก็งกำไรทองคำที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทั้งทองคำและเครื่องประดับทองเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกเพชรธรรมชาติรวมทั้งเพชรสังเคราะห์ ไปยังประเทศในสหภาพยุโรป ต้องผ่านการตรวจสอบที่สำนักงานในเมืองแอนต์เวิร์ป เบลเยียม ซึ่งมีปัญหาคอขวดความล่าช้าเกิดขึ้น แม้ว่าทาง Antwerp World Diamond Centre จะแถลงล่าสุดว่า สามารถคลี่คลายปัญหาความล่าช้าได้ดีขึ้น แต่ผู้ประกอบการควรสร้างความเข้าใจในการจัดทำข้อมูลให้ชัดเจน รวมทั้งเผื่อเวลาในการตรวจสอบตามขั้นตอนดังกล่าว นอกจากนี้ แนวทางการทำธุรกิจแบบเน้นการเพิ่มคุณค่าให้แบรนด์ ทั้งการนำเสนอสินค้าในมุมมองใหม่ ๆ การผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์สร้างความพึงพอใจและสามารถแก้ปัญหา (Pain Relievers) ให้ลูกค้าได้ด้วย ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์มีจุดขายชัดเจน สร้างคุณค่าที่แตกต่างจากรายอื่น ๆ สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ต้องการสินค้าจริง ๆ ทั้งยังช่วยเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืนมีประสิทธิภาพด้วย
ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566 และปี 2567
ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
เมษายน 2567
*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”