หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566

กลับหน้าหลัก
22.04.2566 | จำนวนผู้เข้าชม 515

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566 ปรับตัวลดลงร้อยละ 7.28 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่า 2,077.74 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 1,926.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.52 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 1,586.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 36.86 

 ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2565 และปี 2566

 ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

สถานการณ์การส่งออก

สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในเดือนแรกของปีนี้ คือ เครื่องประดับแท้ ด้วยสัดส่วนร้อยละ 39.42 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.42 โดยสินค้าส่งออกหลัก คือ เครื่องประดับทอง มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 102.90 จากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญ อันดับที่ 1, และ 3-5 อย่างฮ่องกง สิงคโปร์ อิตาลีและกาตาร์ได้ สูงขึ้นร้อยละ 302, ร้อยละ 846.95, ร้อยละ 439.32 และร้อยละ 2,272.16 ตามลำดับ มีเพียงการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ตลาดอันดับที่ 2 ลดลงร้อยละ 8 ขณะที่การส่งออก เครื่องประดับเงิน มีมูลค่าลดลงร้อยละ 18.58 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ตลาดสำคัญในอันดับ 1-4 ลดลงร้อยละ 2.58, ร้อยละ 13.37, ร้อยละ 43.53 และร้อยละ 28.89 ตามลำดับ ขณะที่ฮ่องกงตลาดอันดับที่ 5 เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.46 การส่งออกเครื่องประดับแพลทินัม ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 54.93 จากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญใน อันดับ 1 และ 4-5 อย่างสิงคโปร์ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 139.54, ร้อยละ 63.43 และร้อยละ 63.40 ตามลำดับ ส่วนตลาดอันดับที่ 2 และ 3 อย่างญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ลดลงร้อยละ 10.68 และร้อยละ 9.92 ตามลำดับ

พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 2 มีสัดส่วนร้อยละ 23.28 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 201.98 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็นพลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 211.37 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับแรก อย่างฮ่องกง สหรัฐอเมริกา อิตาลี ฝรั่งเศส และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขยายตัวได้สูงร้อยละ 1,283.61, ร้อยละ 54.79, ร้อยละ 198.48, ร้อยละ 68.70 และร้อยละ 326.01 ตามลำดับ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 223.86 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ตลาดสำคัญอันดับที่ 1-5 ล้วนปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 830.87, ร้อยละ 91.64, ร้อยละ 559.06, ร้อยละ 93.60 และร้อยละ 113.10 ตามลำดับ

ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 3 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 17.66 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าลดลงร้อยละ 62.96 โดยราคาทองคำในเดือนกุมภาพันธ์ลดลงจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,854.54 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) โดยราคาทองคำที่ลดลงได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรสหรัฐฯ สูงขึ้น และการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งจากการแถลงข่าวจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณว่า จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงกว่าคาด เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้ลดลงสู่ระดับเป้าหมาย นักลงทุนจึงมีการเทขายทองคำทำกำไรระยะสั้น รวมทั้งมีการชะลอคำสั่งซื้อทองออกไปเนื่องจากราคาเป็นขาลงตลอดทั้งเดือน กุมภาพันธ์ 

เพชร  เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 4 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.54 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ปรับตัวลดลงร้อยละ 16.14 โดยมีเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ ซึ่งหดตัวลงร้อยละ 16.15 มาจากการส่งออกไปยังอินเดีย เบลเยียม และ สหรัฐอเมริกา ตลาดในอันดับ 2-3 และ 5 ได้ลดลงร้อยละ 78.25, ร้อยละ 10.35 และร้อยละ 35.53 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดอันดับที่ 1 และ 4 อย่างฮ่องกงและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สามารถขยายตัวได้ร้อยละ 121.93 และร้อยละ 75.79 ตามลำดับ

เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.22 ปรับตัวลดลงร้อยละ 16.05 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญ 4 อันดับแรก ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา ลิกเตนสไตน์ ฮ่องกง และฝรั่งเศส ลดลงร้อยละ 11.01, ร้อยละ 34.86, ร้อยละ 4.44 และร้อยละ 17.56 ตามลำดับ ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ ตลาดอันดับที่ 5 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.35

มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566 ขยายตัวได้ร้อยละ 36.86 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสามารถเติบโตได้ดีในหลายตลาด อย่างเช่นฮ่องกงที่มีการยกเลิกมาตรการคุมเข้มการระบาดโควิด-19 เกือบทุกรายการ ทำให้สามารถกลับมาจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่เลื่อนมาจากปีก่อนได้ ส่งผลให้เกิดบรรยากาศที่ดี ต่อการจับจ่ายใช้สอย โดยข้อมูลจาก Reuters ระบุว่า ในเดือน กุมภาพันธ์ ยอดค้าปลีกของฮ่องกงเติบโตสูงถึงร้อยละ 31.3 ซึ่งสูงสุดในรอบ 13 ปี ขณะที่ยอดขายเครื่องประดับและนาฬิกา เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 129 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนตลาดสำคัญในยุโรปอย่างอิตาลี แม้ยังได้รับผลกระทบจากวิกฤตพลังงานและเงินเฟ้อแต่ภาคค้าปลีกและการท่องเที่ยวฟื้นตัวทำให้การบริโภคฟื้นกลับมา ทางด้านค่าเงินบาทในเดือนกุมภาพันธ์ยังมีทิศทางอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จึงส่งผลดีต่อการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย อย่างฮ่องกง สหรัฐอเมริกา อิตาลี สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 301.44, ร้อยละ 6.44, ร้อยละ 285.88, ร้อยละ 236.78, ร้อยละ 64.65 และร้อยละ 2,116.76 ตามลำดับ ส่วนตลาดอันดับที่ 4, 6, 8 และ 10 อย่างเยอรมนี อินเดีย สหราชอาณาจักร และเบลเยียม ลดลงร้อยละ 10.98, ร้อยละ 71.94, ร้อยละ 28.33 และร้อยละ 9.93 ตามลำดับ

 ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้า ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2565 และปี 2566

 ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

การส่งออกไปยัง ฮ่องกง มีมูลค่าสูงขึ้นตอบรับการกลับมาจัดงาน HKTDC Hong Kong International Jewellery Show ครั้งที่ 39 และงาน HKTDC Hong Kong International Diamond, Gem & Pearl Show ครั้งที่ 9 พร้อมกันสองงานในช่วง 1-5 มีนาคม ทำให้มีการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน เครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ล้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1,283.61, ร้อยละ 830.87, ร้อยละ 302, ร้อยละ 121.93 และร้อยละ 65.46 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ที่เติบโตได้นั้น มาจากการส่งออกสินค้าสินค้าหลักอย่างพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ได้สูงถึงร้อยละ 54.79 และร้อยละ 91.64 ตามลำดับ ส่วนสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง และเพชรเจียระไน ปรับตัวลดลงร้อยละ 2.58, ร้อยละ 8 และร้อยละ 35.53 ตามลำดับ

ส่วนการส่งออกไปยัง อิตาลี ที่ขยายตัวสูงนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ล้วนขยายตัวร้อยละ 439.32, ร้อยละ 198.48, ร้อยละ 559.06 และร้อยละ 125.95 ตามลำดับ ส่วนเพชรเจียระไนปรับตัวลดลงร้อยละ 42.99 

สำหรับการส่งออกไปยัง สิงคโปร์ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 65 ได้สูงขึ้นร้อยละ 846.95 รวมทั้งสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับแพลทินัม สามารถเติบโตได้สูงถึงร้อยละ 139.54 ในขณะที่การส่งออกเครื่องประดับเทียมและเครื่องประดับเงินลดลงร้อยละ 38.98 และร้อยละ 24.31 ตามลำดับ

ขณะที่การส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่มขึ้นจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.79, ร้อยละ 25.55 และ ร้อยละ 326.01 ตามลำดับ

สำหรับการส่งออกไป กาตาร์ ที่ขยายตัวได้นั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง (มีสัดส่วนถึงร้อยละ 97) ได้สูงขึ้นร้อยละ 2,272.16 รวมทั้งสินค้ารองมาอย่างเพชรเจียระไน ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 699.91 ซึ่งในช่วง 20-25 กุมภาพันธ์ มีการจัดงาน Doha Jewellery and Watches Exhibition (DJWE) อีกทั้งยังมีการจัดแคมเปญส่วนลดแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางในเดือนกุมภาพันธ์อีกด้วย

ส่วนการส่งออกไปยัง เยอรมนี ที่มีมูลค่าลดลงจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน (มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 73) เศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่าและเครื่องประดับทองล้วนแต่หดตัวลงร้อยละ 13.37, ร้อยละ 11.38 และร้อยละ 7.19 ตามลำดับ

ขณะที่การส่งออกไปยัง อินเดีย ซึ่งลดลงนั้น มาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน (มีสัดส่วนร้อยละ 58) รวมทั้งสินค้าสำคัญรองมาอย่างอัญมณีสังเคราะห์และเครื่องประดับเงิน ปรับตัวลดลงร้อยละ 78.25, ร้อยละ 35.55 และร้อยละ 73.21 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกไป สหราชอาณาจักร ที่หดตัวลงนั้น เป็นผลจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน (มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 78) รวมทั้งสินค้าสำคัญอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้ลดลงร้อยละ 4.35, ร้อยละ 43.53 และร้อยละ 42.88 ตามลำดับ ส่วนเพชรเจียระไนและเครื่องประดับเทียม ยังขยายตัวได้ร้อยละ 186.26 และร้อยละ 24.70 ตามลำดับ

การส่งออกไปยัง เบลเยียม ซึ่งปรับตัวลดลงนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน (มีสัดส่วนร้อยละ 90) ลดลงร้อยละ 10.35 ส่วนเครื่องประดับทองและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ยังเติบโตได้ร้อยละ 214.81 และร้อยละ 100.07 ตามลำดับ

แผนภาพที่ 1 งตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2566

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

บทสรุป

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยระหว่าง เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี 2566 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.28 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.86 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำและมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออก สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิขยายตัวได้ร้อยละ 33.24 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3 สำหรับสินค้าที่ยังเติบโตได้ดีของไทย คือ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม พลอยเนื้อแข็ง และเนื้ออ่อนเจียระไน

 ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2565 และปี 2566

 ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาภาพรวมในปี 2566 นั้น ช่วงที่ผ่านมาเกิดวิกฤตธนาคารใหญ่ของโลกอย่าง Credit Suisse (CS) ในสวิตเซอร์แลนด์รวมทั้งธนาคารขนาดกลางและเล็กในสหรัฐฯ ล้มละลาย โดยมีการช่วยเหลือจากภาครัฐในการดูแลสภาพคล่องของระบบ รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดอย่างรวดเร็ว แต่ต้องใช้เวลากว่าที่สถานการณ์จะคลี่คลายลง เนื่องจากปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจที่ยังรุมเร้าขณะนี้ จึงต้องจับตามองสถานการณ์ในประเทศดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ สถานการณ์ส่งออกในสองเดือนแรกของปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับกลับมาเติบโตได้ในหลายตลาด เนื่องจากปัจจัยส่งเสริมตลาดในหลายประเทศ อาทิเช่น ฮ่องกง และกาตาร์ ที่มีการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับและจัดแคมเปญเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและภาคธุรกิจ สร้างแรงจูงใจให้มีแรงซื้อกลับเข้ามา ขณะที่อิตาลีมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากปลายปีก่อน ทั้งจากการเติบโตของการค้าปลีกและการท่องเที่ยว รวมทั้งการลดราคาสินค้าประจำปีทำให้การบริโภคกลับมาคึกคัก นอกจากนี้ ตลาด ตะวันออกกลางซึ่งนิยมเครื่องประดับทองทั้งแบบทองล้วนและประดับเพชรเป็นอีกภูมิภาคที่สามารถเติบโตได้ดี ขณะที่เพชรเจียระไนในปีนี้อาจประสบปัญหาเนื่องจากประเทศขั้วตรงข้ามพยายามเข้ามากดดันไม่บริโภคเพชรที่มาจากรัสเซีย จึงทำให้หลายตลาดอาจหันมาบริโภคสินค้าทดแทนอย่างพลอยสีเพิ่มขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการควรสร้างความเข้าใจและระมัดระวังการทำตลาดแบบแบ่งแยกกลุ่มให้ชัดเจน รวมทั้งยังคงต้องสร้างแนวทางการลดก๊าซคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทาน เพราะแม้ มาตรการภาษีคาร์บอนยังไม่เกิดขึ้นกับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ แต่ในอนาคตจะครอบคลุมสินค้าทั้งหมด โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่ให้ความสำคัญมากกับเรื่องดังกล่าว ภาครัฐของไทยจึงควรพิจารณาการจัดแคมเปญเพื่อดึงดูดคำสั่งซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจากนักท่องเที่ยวโดยเร็ว เพื่อชดเชยโอกาสที่เคยสูญเสียไปในช่วงก่อนหน้า

ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

เมษายน 2566


*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”

นำเข้าส่งออกอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, GIT, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2566, สะสม 2 เดือน, มกราคม-กุมภาพันธ์, กุมภาพันธ์ 2566, GIT Information Center