หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมีนาคม ปี 2565

สถานการณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมีนาคม ปี 2565

กลับหน้าหลัก
13.05.2565 | จำนวนผู้เข้าชม 1699

สถานการณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมีนาคม ปี 2565

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 203.93 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2564 ที่มีมูลค่า 1,805.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่5,486.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 2 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.45 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 1,898.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 39.96

ตารางที่ 1  มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2564 และปี 2565

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

สถานการณ์การส่งออก

สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในไตรมาสแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป โดยมีสัดส่วนร้อยละ 65.41 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 699.05 เนื่องจากราคาทองคำโดยเฉลี่ยในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์มาอยู่ที่ระดับ 1,947.83 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) ในเดือนมีนาคม โดยเป็นระดับราคาสูงสุดในรอบ 19 เดือน ซึ่งราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ยังปรับตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง เป็น 2 ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความกังวลขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำเพิ่มขึ้น ทั้งแรงซื้อทองคำจากนักลงทุน และกองทุน SPDR ที่ซื้อทองคำสุทธิในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 64.45 ตัน

เครื่องประดับแท้ เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 2 ในสัดส่วนร้อยละ 15.96 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เติบโตได้ร้อยละ 23.66 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับเงิน เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.98 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และอินเดีย ตลาดสำคัญในอันดับที่ 1, 3 และ 5 ได้ขึ้นร้อยละ 5.05, ร้อยละ 123.72 และร้อยละ 4,713.05 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังเยอรมนีและออสเตรเลีย ตลาดในอันดับ 2 และอันดับ 4 หดตัวลงร้อยละ 1.94 และร้อยละ 23.21 ตามลำดับ การส่งออก เครื่องประดับทอง ขยายตัวได้ร้อยละ 42.02 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิตาลี ตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับแรก ได้สูงขึ้นร้อยละ 35.69, ร้อยละ 39.97, ร้อยละ 36.21, ร้อยละ 59.01 และร้อยละ 207.40 ตามลำดับ ส่วนการส่งออก เครื่องประดับแพลทินัม ปรับตัวลงร้อยละ 19.78 จากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร ตลาดหลักอันดับที่ 2-5 ได้ลดลงร้อยละ 38.35, ร้อยละ 21.06, ร้อยละ 30.56 และ ร้อยละ 45.05 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังญี่ปุ่น ตลาดในอันดับ 1 ยังเติบโตได้ร้อยละ 4.02

เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.55 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ขยายตัวได้ร้อยละ 69.81 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70.90 โดยเป็นผลจากการส่งออกไปยังตลาดในอันดับ 1-4 อย่างอินเดีย ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และเบลเยียม ได้สูงขึ้นร้อยละ 121.98, ร้อยละ 17.22, ร้อยละ 199.41 และร้อยละ 38.72 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตลาดในอันดับที่ 5 ลดลงร้อยละ 8.88

พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 4.12 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 47.05 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งเติบโตได้ร้อยละ 48.17 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาอิตาลี ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ ตลาดในอันดับ 1, 3-5 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 163.43, ร้อยละ 77.36, ร้อยละ 14.01 และร้อยละ 24.17 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังฮ่องกง ตลาดอันดับ 2 หดตัวร้อยละ 22.01 พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 50.28 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และญี่ปุ่น ตลาดในอันดับ 1, 2 และ 4 ได้สูงขึ้นร้อยละ 234.56, ร้อยละ 48.97, ร้อยละ 29.86 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส ตลาดอันดับ 3 และ 5 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 25.29 และร้อยละ 11.21 ตามลำดับ

เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.46 เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.62 จากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับแรก อย่างสหรัฐอเมริกา ลิกเตนสไตน์ ฮ่องกง ฝรั่งเศส และสิงคโปร์ได้สูงขึ้นร้อยละ 35.46, ร้อยละ 113.59, ร้อยละ 20.50, ร้อยละ 27.06 และร้อยละ 42.20 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในไตรมาสแรกของปี 2565 ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.96 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านั้น ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนอย่างการทยอยเปิดเมืองในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งนำไปสู่การเร่งบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ (Pent-Up Demand) การขยายตัวของการลงทุนเพื่อเพิ่มระดับสินค้าคงคลังที่ลดลงไปในช่วงก่อนหน้า และแม้ว่ายังมีสถานการณ์เงินเฟ้อสูงในหลายประเทศสำคัญทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติรวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคหลายรายการปรับตัวสูงตามไปด้วย เป็นตัวกดดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ยังไม่ส่งผลต่อการส่งออกของไทย จึงทำให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังขยายตัวได้ดีโดยไทยส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้ง 10 อันดับแรก อย่างสหรัฐอเมริกา อินเดีย ฮ่องกง เยอรมนี สหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เบลเยียม อิตาลี และญี่ปุ่น มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.48, ร้อยละ 113.98, ร้อยละ 14.77, ร้อยละ 7.97, ร้อยละ 88.29, ร้อยละ 82.14, ร้อยละ 21.25, ร้อยละ 29.45, ร้อยละ 129.87 และร้อยละ 11.22 ตามลำดับ

ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2564 และปี 2565

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มูลค่าการส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ที่เติบโตได้นั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ล้วนขยายตัวได้ร้อยละ 5.05, ร้อยละ 35.69, ร้อยละ 199.41, ร้อยละ 163.43 และร้อยละ 234.56 ตามลำดับ

การส่งออกไปยัง อินเดีย ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 78 และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับเงินและอัญมณีสังเคราะห์ ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 121.98, ร้อยละ 4,713.05 และร้อยละ 872.10 ตามลำดับ

สำหรับการส่งออกไปยัง ฮ่องกง ที่มีมูลค่าสูงขึ้นนั้น มาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้มากขึ้นร้อยละ 17.22, ร้อยละ 39.97, ร้อยละ 48.97 และร้อยละ 20.50 ตามลำดับ ส่วนพลอยเนื้อแข็งเจียระไนลดลงร้อยละ 22.01

ขณะที่การส่งออกไปยัง เยอรมนี สามารถเติบโตได้ จากการส่งออกสินค้าสำคัญรองมาอย่าง เศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้สูงขึ้นร้อยละ 51.44, ร้อยละ 115.44, ร้อยละ 54.71, ร้อยละ 88.47 และร้อยละ 47.63 ตามลำดับ มีเพียงสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินที่ปรับตัวลงร้อยละ 1.94

การส่งออกไป สหราชอาณาจักร ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 77 อย่างเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง และสินค้าลำดับถัดมาอย่างพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้สูงขึ้นร้อยละ 123.72, ร้อยละ 36.21, ร้อยละ 305.91 และร้อยละ 305.01 ตามลำดับ

ส่วนการส่งออกไปยัง สวิตเซอร์แลนด์ ที่มีมูลค่าสูงขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างโลหะเงิน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน เครื่องประดับทอง และเพชรเจียระไนล้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 214.18, ร้อยละ 24.17, ร้อยละ 135.26 และร้อยละ 282.52 ตามลำดับ

การส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้สูงขึ้นร้อยละ 59.01, ร้อยละ 9.01, และร้อยละ 228.74 ตามลำดับ ขณะที่เพชรเจียระไนหดตัวร้อยละ 8.88

สำหรับการส่งออกไปยัง เบลเยียม ที่เติบโตได้ดี เป็นผลจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน ที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 87 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.72 และสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับเทียม และเครื่องประดับทอง ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ694.39 และร้อยละ 7.46 ตามลำดับ

ส่วนการส่งออกไปยัง อิตาลี ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้สูงขึ้นร้อยละ 207.40, ร้อยละ 77.36 และร้อยละ 119.04 ตามลำดับ

การส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างเครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม และเครื่องประดับเงิน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรวมกันราวร้อยละ 51 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.94, ร้อยละ 4.02 และร้อยละ 12.94 ตามลำดับ

แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2565

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

บทสรุป

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 203.93 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 39.96 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำฯ และมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.33 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3

ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2564 และปี 2565

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่เติบโตนั้น เนื่องจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ยังมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของการบริโภคจากการทยอยเปิดเมืองในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งมาตรการผ่อนคลายในการท่องเที่ยวซึ่งนำไปสู่การเร่งบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ (Pent-Up Demand) ในช่วงฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ ภาคการส่งออกสินค้าในตลาดโลกจึงขยายตัวได้จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนภาคการส่งออกในหลายสินค้าของไทยให้เติบโตสูงเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งอัญมณีและเครื่องประดับที่เติบโตได้ต่อเนื่อง สำหรับสินค้าที่มีความโดดเด่นของไทย คือ เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม รวมทั้งเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน

ในภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังสามารถเติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการบริโภค แต่ด้วยสถานการณ์ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ อย่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ และประเทศในสหภาพยุโรปที่ยังไม่มีทีท่าจะลดลง โดย ณ เดือนมีนาคม 2565 อยู่ที่ระดับร้อยละ 8.5 และ 7.4 ตามลำดับ ขณะที่สถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนแม้ว่าจะมีความพยายามเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง ทว่าการตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรทางการค้าระหว่างฝั่งนาโต้และรัสเซีย ส่งผลให้ราคาพลังงานและสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูงขึ้น กระทบทั้งต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพของประชาชนเป็นวงกว้างทั่วโลก นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนเมษายนของ Ipsos บริษัทสำรวจและทำวิจัยทางการตลาด พบว่า ประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญหลายประเทศอย่างออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา มีระดับความเชื่อมั่นลดลงจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งอาจสะท้อนต่อทิศทางการบริโภคที่อาจลดลงของประเทศเศรษฐกิจเหล่านี้ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้

ทั้งนี้แม้ว่าสถานการณ์ในไตรมาสแรกของปีนี้ยังได้รับผลจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต่อจากปีก่อนหน้า และการเร่งบริโภคหลังจากที่ชะลอตัวมานาน แต่จากปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่มีอาจจะส่งผลให้การส่งออกชะลอตัวลง ดังนั้น ผู้ประกอบการไม่เพียงแต่ต้องวางแผนการดำเนินการที่ตอบโจทย์ธุรกิจทั้งด้านการจัดการต้นทุนผลิต การสร้างทักษะความรู้ บุคลากร ความเข้าใจในดิจิทัลเทคโนโลยีการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราเงินเฟ้อ แต่ยังรวมถึงการหาพันธมิตรทางธุรกิจ หรือการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนและต่อยอดให้ธุรกิจอยู่รอดในภาวะแห่งเปลี่ยนแปลงนี้


ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)



*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”

นำเข้าส่งออกอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, GIT, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2565, สะสม 3 เดือน, มีนาคม, THTI, Fashion Intelligence Unit, FIU, FIU'_65