
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2564
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2564 ปรับตัวลดลงร้อยละ 69.83 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีมูลค่า 8,142.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 2,456.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 9 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.87 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 1,793.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 1.05 โดยเฉพาะเมษายน 2564 เพียงเดือนเดียว มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 106.57
ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การส่งออก
สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ คือ เครื่องประดับแท้ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38.56 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.81 โดยสินค้าส่งออกหลัก คือ เครื่องประดับเงิน มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.51 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ตลาดสำคัญในอันดับที่ 1, 3 และ 5 ที่เติบโตได้ร้อยละ 28.23, ร้อยละ 64.48 และร้อยละ 137.30 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังเยอรมนีและจีนตลาดในอันดับ 2 และอันดับ 4 หดตัวลงร้อยละ 13.37 และร้อยละ 20.94 ตามลำดับ การส่งออกเครื่องประดับทองลดน้อยลงร้อยละ 9.36 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และญี่ปุ่น ตลาดสำคัญในอันดับที่ 2, 4 และ 5 ลดลงร้อยละ 26.92, ร้อยละ 6.76 และร้อยละ 3.31 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ตลาดในอันดับที่ 1 และ 3 ยังขยายตัวได้ร้อยละ 43.75 และร้อยละ 90.63 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกเครื่องประดับแพลทินัมปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 88.08 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดหลักอันดับ 1, 3, 4 และ 5 อย่างสิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฮ่องกง ต่างขยายตัวสูงถึงร้อยละ 2,768.15, ร้อยละ 92.07, ร้อยละ 52.85 และร้อยละ 174.25 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังญี่ปุ่น ที่อยู่ในอันดับ 2 ปรับตัวลดลงร้อยละ 14.35
ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับ 2 ในสัดส่วนร้อยละ 27 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม หดตัวสูงถึงร้อยละ 89.59 เนื่องจากราคาทองคำเฉลี่ยในตลาดโลกยังอยู่ในช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง จนอยู่ที่ระดับ 1,761.68 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) ในเดือนเมษายน 2564 โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวดีขึ้น
เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.40 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเติบโตร้อยละ 26.43 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ ซึ่งเติบโตได้ร้อยละ 32.78 อันเนื่องมาจากการส่งออกไปยังอินเดีย สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดในอันดับที่ 1, 4 และ 5 ได้สูงกว่าร้อยละ 172.59, ร้อยละ 77.67 และร้อยละ 63.26 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังฮ่องกงและเบลเยียม ตลาดในอันดับ 2 และ 3 ปรับตัวลงร้อยละ 0.39 และร้อยละ 18.43 ตามลำดับ
พลอยสีเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 8.10 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย หดตัวลงร้อยละ 27.98 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็นพลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งมีมูลค่าลดลงร้อยละ 15.96 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และอิตาลีตลาดในอันดับ 1, 2 และ 4 ได้ลดลงร้อยละ 11.16, ร้อยละ 55.01 และร้อยละ 23.49 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับที่ 3 และ 5 เพิ่มขึ้นร้อยละ 154.85 และร้อยละ 9.79 ตามลำดับ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ลดลงร้อยละ 43.86 อันเป็นผลจากการส่งออกไปยังฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ตลาดใน 2 อันดับแรก หดตัวลง้อยละ 52.75 และร้อยละ 74.61 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ตลาดในอันดับที่ 3, 4 และ 5 ยังขยายตัวได้ร้อยละ 6.51, ร้อยละ 228.24 และร้อยละ 242.96 ตามลำดับ
เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.25 ปรับตัวลดลงร้อยละ 13.34 จากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญในอันดับที่ 3 อย่างลิกเตนสไตน์ ซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกในอันดับ 1 ในปีที่ผ่านมา ได้ลดลงร้อยละ 67.50 ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับที่ 1, 2, 4 และ 5 ยังเติบโตได้ร้อยละ 43.68, ร้อยละ 85, ร้อยละ 18.24 และร้อยละ 31.54 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.05 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องมาจากการส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้สูงขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นตลาดในอันดับ 1, 3, 5, 6 และ 9 ต่างมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 15.51, ร้อยละ 27.73, ร้อยละ 66.59, ร้อยละ 68.71 และร้อยละ 20.52 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากหลายประเทศประสบความสำเร็จในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประชาชนได้รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในการบริโภค และกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง ทำให้การใช้จ่ายกระจายลงมาถึงสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างอัญมณีและเครื่องประดับมากขึ้น
ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.23, ร้อยละ 43.75, ร้อยละ 77.67 และร้อยละ 43.68 ตามลำดับ
การส่งออกไปยังอินเดียที่ขยายตัวนั้น จากการส่งออกเพชรเจียระไน สินค้าหลักในสัดส่วนร้อยละ 78 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 175 ส่วนสินค้าที่หดตัวในตลาดนี้คือ โลหะเงิน พลอยก้อน พลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน
ส่วนการส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราวร้อยละ 81 รวมถึงสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเครื่องประดับเทียมและเครื่องประดับแพลทินัม ด้วยมูลค่าเติบโตร้อยละ 90.63, ร้อยละ 137, ร้อยละ 28.66 และร้อยละ 52.85 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยังออสเตรเลียที่เติบโตนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสไคัญหลายรายการได้สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ที่ล้วนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.48, ร้อยละ 98.61, ร้อยละ 128, ร้อยละ 307 และร้อยละ 130 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ขยายตัวนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเพชรก้อน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 63.26, ร้อยละ 257 และร้อยละ 1,112 ตามลำดับ
สำหรับตลาดอื่นๆ ที่หดตัวลง คือ ฮ่องกง ตลาดในอันดับที่ 2 ลดลงร้อยละ 16.94 จากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน ในสัดส่วนราวร้อยละ 46 รวมทั้งสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้ลดลงร้อยละ 0.39, ร้อยละ 26.92, ร้อยละ 11.16 และร้อยละ 52.75 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกไปยังเยอรมนีตลาดในอันดับ 4 ปรับตัวลดลงร้อยละ 10.68 เนื่องจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเทียม ได้ลดลงร้อยละ 13.37, ร้อยละ 19.52 และร้อยละ 48.24 ตามลำดับ
การส่งออกไปยังญี่ปุ่นตลาดในอันดับที่ 7 ลดลงร้อยละ 2.07 โดยส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเครื่องประดับแพลทินัม เศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า และเครื่องประดับเงินได้ลดลงร้อยละ 3.31, ร้อยละ 14.35, ร้อยละ 6.70 และร้อยละ 5.79 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยังเบลเยียมตลาดในอันดับ 8 หดตัวลงร้อยละ 19.87 เนื่องจากการส่งออกเพชรเจียระไน สินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 83 ได้ลดลงร้อยละ 18.43
ส่วนการส่งออกไปยังสิงคโปร์ตลาดในอันดับที่ 10 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 17.63 จากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ได้ลดลงร้อยละ 69.86, ร้อยละ 20.57, ร้อยละ 58.29 และร้อยละ 27.59 ตามลำดับ
แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองค า) ในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2564
บทสรุป
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ปรับตัวลดลงร้อยละ 69.83 หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำฯ พบว่า เติบโตสูงขึ้นร้อยละ 1.05 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำฯ และมูลค่าสินค้าส่งกลับจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.83 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน ปี 2563 และปี 2564
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีความไม่แน่นอนสูง โดยปัจจัยที่ควรเฝ้าระวัง คือ 1) การกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 2) วัคซีนโควิดที่ยังไม่ทั่วถึงเพียงพอ 3) การผ่อนคลายมาตรการทางสุขอนามัยเร็วเกินไปจะทำให้มีโอกาสของการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งหากไม่สามารถควบคุมได้ ก็อาจทำให้หลายประเทศต้องกลับมาใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกได้ในที่สุด
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ที่เติบโตได้นั้นเนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจและซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้น โดยสินค้าดาวเด่นของไทยที่มีแนวโน้มเติบโตดีคือ เครื่องประดับเงิน
ทั้งนี้ผู้ประกอบการไทยยังมีโอกาสจากการที่ผู้บริโภคปรับพฤติกรรมการซื้อสินค้ามาสู่ออนไลน์มากขึ้น โดยในปี 2563 การค้าออนไลน์โลกเติบโตถึงร้อยละ 28 ฉะนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องเร่งเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์โดยเร็ว เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการรักษาหรือเพิ่มยอดขายอัญมณีและเครื่องประดับทั้งในประเทศและตลาดโลก
ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”