หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-ตุลาคม 2562

สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-ตุลาคม 2562

กลับหน้าหลัก
13.12.2562 | จำนวนผู้เข้าชม 1076

สถานการณ์นำเข้าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-ตุลาคม 2562


การนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม 2562 มีมูลค่า 14,126.39 ล้านเหรียญสหรัฐ (324,427.47 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 27.90 (ร้อยละ 34.01 ในหน่วยของเงินบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 เป็นการนำเข้าวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบ และกว่าครึ่งหนึ่งเป็นการนำเข้าทองคำฯ ซึ่งลดลงมากถึงร้อยละ 45.27 อันเป็นผลจากราคาทองคำฯ ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-ตุลาคม2562เติบโตสูงถึงร้อยละ 37.59 (ร้อยละ 34.01 ในหน่วยของเงินบาท) หรือมีมูลค่า 13,974.58 ล้านเหรียญสหรัฐ (434,752.85 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีมูลค่า 10,156.54 ล้านเหรียญสหรัฐ (324,427.47 ล้านบาท) นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญในอันดับที่ 3 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.70 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ เมื่อหักทองคำออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า6,900.81ล้านเหรียญสหรัฐ (214,778.72 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 6.24 (ร้อยละ 3.43 ในหน่วยของเงินบาท)

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

เมื่อแยกพิจารณาการส่งออกในรายผลิตภัณฑ์สำคัญพบว่า

1) สินค้าสำเร็จรูปเครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และเครื่องประดับแพลทินัม ลดลงร้อยละ 1.65, ร้อยละ 21.71 และร้อยละ 3.72 ตามลำดับส่วนเครื่องประดับเทียม เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.14

2) สินค้ากึ่งสำเร็จรูปพลอยเนื้อแข็งและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เติบโตร้อยละ 7.54 และร้อยละ 14.36 ตามลำดับส่วนเพชรเจียระไน หดตัวลงร้อยละ 6.86

ตลาด/ภูมิภาคสำคัญในการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทย (ไม่รวมทองคำ)ในช่วง10 เดือนแรกของปี 2562คือฮ่องกงปรับตัวลดลงร้อยละ 3.82ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า และสถานการณ์การประท้วงที่ยืดเยื้อและเพิ่มความรุนแรง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวในฮ่องกงลดลง กระทบต่อร้านค้าปลีกที่ต้องปิดตัวลงหลายแห่งผู้นำเข้าฮ่องกงจึงลดการนำเข้าจากไทยลง ส่งผลให้ไทยส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน และสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเครื่องประดับทองได้ลดลง ส่วนสินค้าที่ยังเติบโตได้ในตลาดนี้ คือ พลอยเนื้อแข็งเจียระไน

มูลค่าการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปลดลงร้อยละ 3.54เป็นผลมาจากการส่งออกไปยังเยอรมนี และเบลเยียม ตลาดใน 2 อันดับแรกซึ่งมีสัดส่วนรวมกันราวครึ่งหนึ่งได้ลดลงร้อยละ30.78 และร้อยละ 5.25 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังเยอรมนีเป็นเครื่องประดับเงิน ในสัดส่วนเกือบร้อยละ 80หดตัวลงร้อยละ 23.47ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังเบลเยียมเป็นเพชรเจียระไน ลดลงร้อยละ 5.81 สำหรับตลาดที่เติบโตได้ในภูมิภาคนี้ได้แก่ อิตาลี และสหราชอาณาจักรขยายตัวได้1.25 เท่า และร้อยละ 13.33 ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังอิตาลีและสหราช-อาณาจักรเป็นเครื่องประดับทอง ที่เติบโตได้เป็นอย่างดี

การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาลดลงร้อยละ 7.61 ส่วนหนึ่งยังคงเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่เริ่มอ่อนแอลงจากผลกระทบของสงครามการค้า ผู้บริโภคจึงระมัดระวังการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย โดยการส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักในปีที่ผ่านมาและเครื่องประดับทอง ซึ่งเป็นสินค้าหลักส่งออกในปีนี้ ต่างมีมูลค่าลดลงร้อยละ 23.82 และร้อยละ 3.86 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกพลอยเนื้อแข็งเจียระไนและเพชรเจียระไน ยังสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 13.76 และร้อยละ 11.07 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกไปยังญี่ปุ่นปรับตัวลดลงร้อยละ 6.54 จากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้ลดลงไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไนและเครื่องประดับเงิน ที่ล้วนมีมูลค่าลดลงร้อยละ 0.99, ร้อยละ 39.85 และร้อยละ 20.48 ตามลำดับ

ส่วนการส่งออกไปยังจีนลดลงร้อยละ 23.31ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการบริโภคลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวลง อันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามการค้า ทำให้ไทยส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการไปยังจีนได้ลดลงทั้งสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับทอง ที่ต่างหดตัวลงร้อยละ 10.08, ร้อยละ 57.58 และร้อยละ 65.91 ตามลำดับ

ส่วนการส่งออกไปยังประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกมีมูลค่าลดลงร้อยละ 23.33จากการส่งออกไปยังออสเตรเลีย ตลาดหลักอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคนี้ได้ลดลงถึงร้อยละ 26.85 เนื่องจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ในสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งได้ลดลงมากถึงร้อยละ 34.60 รวมถึงสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับทอง ก็หดตัวลงร้อยละ 22.67 ส่วนการส่งออกไปยังนิวซีแลนด์ ตลาดในอันดับ 2 เติบโตได้ร้อยละ 15.03 อันเป็นผลจากการส่งออกเครื่องประดับเงิน ในสัดส่วนเกือบร้อยละ 60 และสินค้าสำคัญถัดมาอย่าเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่าได้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 17.69 และร้อยละ 3.23 ตามลำดับ

การส่งออกไปยังรัสเซียและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราชปรับตัวลดลงร้อยละ 65.74 เป็นผลจากการส่งออกไปรัสเซีย ตลาดที่ครองส่วนแบ่งสูงสุดราวร้อยละ 78 และยูเครน ตลาดในอันดับ 3 ได้ลดลงร้อยละ 69.37 และร้อยละ 83.24 ตามลำดับ โดยการส่งออกไปยังรัสเซียที่ลดลง เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องและความไม่มั่นคงในรัฐภูมิศาสตร์ ผู้บริโภคจึงลดการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย และเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นการสะสมสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะทองคำเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ไทยส่งออกเครื่องประดับเงิน ซึ่งเคยเป็นสินค้าหลักในปีที่ผ่านมาลดลงเกือบเท่าตัว ในขณะที่ไทยส่งออกทองคำไปยังตลาดนี้เป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของการส่งออกไปยังรัสเซียทั้งหมด รวมถึงเพชรเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.16 และ 5.55 เท่า ตามลำดับ ส่วนตลาดยูเครนนั้น ไทยส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการไปได้ลดง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน อัญมณีสังเคราะห์ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับทอง ที่ต่างมีมูลค่าหดตัวลงมาก ในขณะที่การส่งออกไปยังอาร์เมเนีย ตลาดในอันดับ 2 ยังเติบโตได้ดีกว่า 1.04 เท่า เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างพลอยเนื้ออ่อนและพลอยเนื้อแข็งเจียระไนได้เพิ่มขึ้นกว่า 3.79 เท่า และร้อยละ 55.39 ตามลำดับ อีกทั้งเพชรเจียระไน สินค้าลำดับถัดมาก็มีมูลค่าสูงขึ้นกว่า 1.09 เท่า

สำหรับการส่งออกไปยังอินเดีย อาเซียน และกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเติบโตได้ร้อยละ 98.25, 1.98 เท่า และร้อยละ 0.95 ตามลำดับ โดยการส่งออกไปยังอินเดียส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบอย่างเพชรเจียระไน พลอยก้อน พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน โลหะเงิน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ที่ต่างขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 22.67, 6.44 เท่า, 5.73 เท่า, 3.80 เท่า และร้อยละ 40.42 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกไปยังอาเซียนเพิ่มขึ้นกว่า 1.98 เท่า จากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ และกัมพูชา ตลาดใน 2 อันดับแรกได้สูงกว่า 3.06 เท่า และ 1.46 เท่า ตามลำดับ โดยสินค้าส่งออกหลักไปยังสิงคโปร์เป็นเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่ารองลงมาเป็นเครื่องประดับเทียม และเครื่องประดับทอง ซึ่งเติบโตได้ 112.17 เท่า, ร้อยละ 13.09 และร้อยละ 3.37 ตามลำดับ ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปยังกัมพูชาเป็นเพชรเจียระไน สินค้าสำคัญรองลงมาเป็นเครื่องประดับทอง มีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 1.13 เท่า และ1.87 เท่า ตามลำดับส่วนการส่งออกไปยังมาเลเซีย ตลาดในอันดับ 3 หดตัวลงร้อยละ 13.22เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน และสินค้าสำคัญลำดับถัดมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเพชรเจียระไน ได้ลดลง ในขณะที่เครื่องประดับทองยังเติบโตได้ในตลาดนี้ร้อยละ 35.70

ส่วนการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.95 จากการส่งออกไปยังสหรัฐ-อาหรับเอมิเรตส์ ตลาดอันดับ 1 ของไทยในภูมิภาคนี้ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.85จากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชร-เจียระไนได้เพิ่มขึ้นกว่า 1.18 เท่า ในขณะที่สินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง ยังคงปรับตัวลดลงร้อยละ 3.78ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมและทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปีในเดือนสิงหาคม ทำให้ความต้องการเครื่องประดับทองของชาวยูเออีลดลง โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2562 ความต้องการเครื่องประดับทองลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 10 ปี ส่วนการส่งออกไปยังกาตาร์ ตลาดในอันดับ 3 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.35 จากการส่งออกเครื่องประดับทอง สินค้าหลักในสัดส่วนราวร้อยละ 97 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.26 ส่วนการส่งออกไปยังอิสราเอล ตลาดในอันดับ 2 หดตัวลงร้อยละ 4.99 เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักทั้งเพชรเจียระไนและเพชรก้อนได้ลดลงร้อยละ 6.04 และร้อยละ 6.44 ตามลำดับ

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)


 *** กรุณาอ้างอิง “ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” ทุกครั้ง เมื่อนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อ

นำเข้าส่งออกอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, GIT, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2562, ม.ค.-ต.ค., สะสม 10 เดือน