
นิตยสาร The Economist ล่าสุดฉบับวันที่ 19 พฤษภาคม ทำรายงานพิเศษเรื่อง “การเปิดประตู” สู่โลกภายนอกของจีน โดยการกล่าวว่า นโยบายของทางการจีน ที่ปล่อยให้คนจีนสามารถเดินทางออกนอกประเทศอย่างเสรี กำลังทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวกันนี้ ก็คงจะทำให้จีนเองเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
ในอดีตนั้น คนจีนจะเดินทางออกนอกประเทศ ต้องเป็นคนที่วางใจได้ทางการเมือง ไม่มีประวัติอาชญากรรม ผ่านการตรวจตราของหน่วยงานราชการที่ใช้เวลาเป็นเดือน ตรวจสอบว่าซื่อสัตย์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์หรือไม่ ต้องระบุเป้าหมายการเดินทาง และแหล่งเงินทุนสนับสนุน ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติว่า “อนุญาตให้ไปต่างประเทศ”
ที่มาภาพ : http://www.bbc.com/news/uk-england-oxfordshire-42015714
นับจากต้นทศวรรษ 1990 ทางการจีนเริ่มจะผ่อนคลายการออกนอกประเทศของคนจีน ก่อนหน้านี้ จีนหวาดกลัวแบบเดียวกับเกาหลีเหนือ จึงควบคุมประชาชนให้อยู่แต่พรมแดนภายในประเทศ แต่ช่วงระยะ 25 ปีที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในทศวรรษ 1980 แต่ละปี คนจีนออกนอกประเทศมีจำนวนไม่กี่หมื่นคน ตัวเลขปัจจุบันคือ 130 ล้านคน ในปี 2020 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 200 ล้านคน หรือ 1 ใน 7 ของประชากรจีน
นับจากทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา คนทั่วโลกที่เดินทางไปต่างประเทศมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยมีสาเหตุต่างๆ เช่น การล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออก ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปเปิดพรมแดนระหว่างกัน คนชั้นกลางในประเทศกำลังพัฒนามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และผู้คนอพยพหนีความความขัดแย้งและความยากจน แต่จำนวนคนจีนที่ออกนอกประเทศบดบังการเดินทางของคนในประเทศอื่นๆ แทบทั้งหมด
เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เติ้ง เสี่ยวผิง เริ่มนโยบายเปิดประเทศ วัตถุประสงค์ก็เพื่อให้คนต่างชาติที่เป็นนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจเดินทางเข้ามาจีน สิ่งนี้จะทำให้ความสัมพันธ์จีนกับกับชาติตะวันตกเข้าสู่ภาวะปกติ แต่จีนคงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า การเปิดประเทศจะทำให้คนจีนเดินทางไปทุกแห่งในโลก เช่น เป็นนักศึกษาในออสเตรเลีย เป็นนักคอมพิวเตอร์ที่ซิลิคอนวัลเลย์ เป็นนักท่องเที่ยวซื้อสินค้าแบรนด์เนมในปารีส เป็นคนงานตัดเย็บเสื้อผ้าในอิตาลี และเป็นพ่อค้าย่อยในประเทศแอฟริกา
แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนพร้อมที่จะเสี่ยงดำเนินการ เติ้ง เสี่ยวผิง บอกว่า การเปิดหน้าต่างทำให้ได้อากาศบริสุทธิ์ แต่ก็อาจจะมีแมลงบินเข้ามา ประการแรก คือ การปฏิรูปเศรษฐกิจ เช่น ปิดโรงงานของรัฐ เปิดให้เอกชนเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจ ทำให้จีนก้าวตามขึ้นมาจนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก
ประการที่ 2 คือการยอมรับอินเทอร์เน็ต ทำให้ทางการจีนควบคุมข้อมูลข่าวสารได้น้อยลง แต่จีนก็กลายเป็นผู้นำด้านสารสนเทศ และประการที่ 3 คือการเปิดประเทศ ให้ประชาชนสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้เสรี ทำให้นับจากปี 2007 คนจีนที่เดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว
นักท่องเที่ยวจีนในอังกฤษที่มาช้อปปิ้งในเมืองไบเซสเตอร์ (Bicester)ที่มาภาพ : http://www.bbc.com/news/uk-england-oxfordshire-42015714
The Economist รายงานว่า รองจากพระราชวังบักกิงแฮมแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 2 ของนักท่องเที่ยวจีนในอังกฤษคือแหล่งช้อปปิ้งในเมืองไบเซสเตอร์ (Bicester) อยู่ห่างจากลอนดอน 62 ไมล์ ถนนคนเดินของเมืองนี้เป็นแหล่งขายสินค้าลดราคาจากโรงงานของแบรนด์เนมต่างๆ เช่น Boss, Gucci, Versace เป็นต้น เมื่อปีที่แล้ว นักท่องเที่ยวจีนมาช้อปปิ้งที่นี่ 6.6 ล้านคน เท่ากับจำนวนคนที่เข้าไปดูพิพิธภัณฑ์อังกฤษ รถไฟเมื่อวิ่งไปถึงเมืองไบเซสเตอร์จะมีการแจ้งผู้โดยสารที่รู้เป็นภาษาจีน
จากข้อมูลของร้านค้าปลอดภาษีชื่อ Global Blue เมื่อปีที่แล้ว 1 ใน 4 ของสินค้าปลอดภาษีในอังกฤษ ซื้อโดยนักท่องเที่ยวจีน มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1 ใน 3 ของปีก่อนหน้านี้ แหล่งช้อปปิ้งในไบเซสเตอร์จึงอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจีน ให้สามารถชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มชื่อ WeChat นักท่องเที่ยวจีนมักจะวิจารณ์ว่า ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในต่างประเทศล้าหลัง เมืองใหญ่ๆ ของจีนแทบไม่ใช้เงินสดกันแล้ว
The Economist กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่พุ่งขึ้นทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง บริษัทที่ปรึกษา McKinsey กล่าวว่า 1 ใน 3 ของการใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยมาจากคนจีน การเติบโตของยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยก็มาจากคนจีน ส่วนใหญ่เป็นการซื้อจากนอกประเทศจีน องค์กรการท่องเที่ยวโลก (WTO) ก็เปิดเผยว่า ในปี 2016 นักท่องเที่ยวจีนใช้จ่ายเงินทั้งหมด 260 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1 ใน 5 การใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ส่วนนักท่องเที่ยวอเมริกันใช้เงิน 130 พันล้านดอลลาร์
ไม่เพียงแต่นิยมซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย นักท่องเที่ยวจีนยังสนใจการท่องเที่ยวแบบผจญภัย ปี 2016 นักท่องเที่ยวจีนไปเยือนทวีปแอนตาร์กติกาถึง 5,100 คน จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในต่างประเทศอาจเป็นแค่การเริ่มต้น ทุกวันนี้ คนจีนไม่ถึง 10% ของประชากรมีหนังสือเดินทาง คนอเมริกันถือหนังสือเดินทางมีจำนวน 40% ประชากร สิ้นทศวรรษนี้ คนจีนที่มีหนังสือเดินทางจะเพิ่มเป็น 240 ล้านคน
นับจากที่จีนเปิดประเทศในปี 1978 มีคนจีนไปศึกษาในต่างประเทศแล้ว 5.2 ล้านคน ในปี 2017 นักศึกษาจีนออกไปศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ 6 แสนคน ประเทศที่นักศึกษาจีนนิยมไปศึกษาคือประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ อันดับ 1 คือสหรัฐอเมริกา ในปี 2016 มีจำนวน 320,000 คน ทำให้นักศึกษาจีนมีสัดส่วน 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวว่า นักศึกษาจีนใช้จ่ายเงินปีหนึ่ง 12 พันล้านดอลลาร์ ประเทศรองลงมาที่นักศึกษาจีนไปศึกษาคือ ออสเตรเลีย จำนวน 120,000 คน
ความต้องการที่จะศึกษาในต่างประเทศ และการที่ครอบครัวคนจีนมีฐานะมั่งคั่งมากขึ้น กลายเป็นคุณูปการแก่สถาบันการศึกษาในต่างประเทศ ในอเมริกา การลดเงินอุดหนุนแก่มหาวิทยาลัยรัฐ ทำให้ต้องหันไปพึ่งพานักศึกษาต่างชาติที่เสียค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน ค่าเล่าเรียนระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ปีหนึ่งเป็นเงิน 45,000 ดอลลาร์ ปีที่แล้วนักศึกษาจีนที่กำลังเรียนที่เบิร์กลีย์ มีถึง 2,300 คน
สหรัฐฯ คาดหวังว่า คนจีนที่มาศึกษาในสหรัฐฯ จะซึมซับแนวคิดประชาธิปไตย และนำติดตัวกลับประเทศ นับจากเปิดประเทศเป็นต้นมา คนจีนมาศึกษาในสหรัฐฯ แล้วถึง 2 ล้านคน รวมทั้งบรรดาลูกหลานของผู้นำจีนเอง เช่น บุตรชายของเติ้ง เสี่ยวผิง บุตรชายของเจียง เจ๋อหมิน บุตรสาวของหู จิ่นเทา และบุตรสาวของสี จิ้นผิง ที่สำเร็จการศึกษาจากฮาร์วาร์ด เมื่อปี 2014 แต่เมื่อเศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างมาก นักศึกษาจีนกลับมีความคิดชาตินิยม และก็ไม่ได้ชื่นชมประชาธิปไตย หรือเศรษฐกิจกลไกตลาด
ที่มาภาพ :https://qz.com/1081203/china-in-africa-guangzhou-is-a-global-city-for-african-entrepreneurs/
The Economist รายงานว่า ทั่วทวีปแอฟริกา จีนขยายอาณาจักรเศรษฐกิจผ่านบริษัทวิศวกรรมท่าเรือของรัฐบาลที่ชื่อ China Harbor Engineering Company (CHEC) ที่กำลังก่อสร้างท่าเรืออยู่ที่นามิเบีย รวมทั้งทำเหมืองแร่ยูเรเนียมในประเทศนี้ องค์กร UNCTAD ของสหประชาชาติระบุว่า ช่วงปี 2010-2015 จีนลงทุนในแอฟริกาแล้วเป็นเงิน 35 พันล้านดอลลาร์
สิ่งที่น่าสนใจคือจำนวนคนจีนในแอฟริกา มีการคาดหมายว่า ในปี 2011 มีจำนวน 181,000 คน ในปี 2015 เพิ่มเป็น 264,000 คน ในจำนวนนี้ คนจีนบางส่วนอพยพไปแอฟริกาเพื่อทำธุรกิจ เช่น เปิดร้านค้า ร้านอาหาร และค้าขาย แม้แต่เมืองที่อยู่ห่างไกลในนามิเบียก็มีร้านค้าที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “ร้านจีน” มีคนจีนเป็นเจ้าของ ขายของถูก ที่นำเข้ามาจากจีน
ในหนังสือชื่อ China’s Second Continent ผู้เขียนคือ Howard W. French กล่าวว่า การขยายธุรกิจจีนในแอฟริกาอาศัยระบบการค้าต่างตอบแทนสมัยใหม่ (barter system) ประเทศกำลังพัฒนาชำระหนี้จากโครงการก่อสร้างท่าเรือ รางรถไฟ หรือสนามบิน ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติ วิธีการนี้ทำให้บริษัทจีนได้งานโครงการก่อสร้าง ส่วน China Development Bank (CDB) และ Export-Import Bank of China (CEXIM) เป็นฝ่ายให้เงินกู้โครงการ ที่จะผูกมัดกับการใช้บริษัทจีน วัตถุดิบจีน และคนงานจีน
คนงานอพยพอยู่ยาว
ที่มาภาพ : https://www.ecnmy.org/engage/prato-chinese-stuff-look-around/
พราโต (Prato) เป็นเมืองขนาดกลางของอิตาลี อยู่ห่างจากเมืองฟลอเรนซ์ 20 กิโลเมตร แต่เมืองขนาดกลางของอิตาลีอย่างเช่นพราโตเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกที่สำคัญ เช่น สิ่งทอ เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องหนัง การกระจุกตัวเป็นคลัสเตอร์ของอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก ถือเป็นจุดเด่นการพัฒนาเศรษฐกิจของอีตาลี Michael E. Porter เคยกล่าวว่า ความได้เปรียบของอุตสาหกรรมอิตาลีคือการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ การสร้างความแตกต่าง และนวัตกรรมการผลิต
นอกจากจะเป็นศูนย์กลางโลกการตัดเย็บเสื้อผ้า พราโตยังมีชื่อเสียงด้านคุณภาพและการออกแบบ เพราะเหตุนี้ จึงกลายเป็นจุดที่แรงงานต่างชาติต้องการอพยพเข้าไปทำงาน โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในพราโตเป็นแหล่งตัดเย็บเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่มีเครื่องหมาย Made in Italy เช่น Gucci หรือ Armani แต่นับจากทศวรรษ 1990 คนงานจีนเริ่มอพยพเข้ามาทำงานในเมืองนี้ ปัจจุบัน พราโตเป็นเมืองในยุโรปที่มีคนจีนอาศัยอยู่รวมกันมากสุด ตัวเลขทางการมีอยู่ 20,700 คน
คนจีนในพราโตกว่า 80% มาจากเมืองชายทะเลชื่อเหวินโจ (Wenzhou) หนังสือชื่อ Chinese Migration to Europe บอกว่า เหวินโจและพื้นที่บริเวณใกล้เคียงเป็นแหล่งสำคัญของคนจีนที่อพยพไปยุโรป ทำให้เกิดเครือข่ายที่สามารถสนับสนุนคนจีนที่จะอพยพไปอยู่ที่พราโต
The Economist กล่าวว่า การอพยพของแรงงานจีน และการที่นักธุรกิจจีนกลายเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า ทำให้พราโตเกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา มีการนำเข้าผ้ามาจากจีน ทำให้โรงงานสิ่งทอลดจาก 9,400 เหลือ 3,000 แห่ง แต่โรงงานตัดเย็บเสื้อเพิ่มเป็น 4,400 โรงงาน 3 ใน 4 ของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในพราโตมีคนจีนเป็นเจ้าของ ทำให้เกิดกลุ่มคนจีนที่มีฐานะชนชั้นกลางเพิ่มขึ้นในอิตาลี
The New York Times เคยรายงานว่า กรณีของพราโตเหมือนกับมีจีนมาตั้งอยู่หลังบ้านอิตาลี โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าและแรงงานของจีนทำให้เส้นแบ่งพร่ามัวลงไประหว่างคำว่า “ผลิตในอิตาลี” กับ “ผลิตในจีน” ทำให้อิตาลีประสบปัญหายากลำบากที่จะกำหนดจุดยืนการผลิตสินค้าสำหรับตลาดระดับสูง
ที่มาภาพ : https://www.reuters.com/news/picture/made-in-italy-by-chinese-workers-idUSRTX16XEA
โดย: ปรีดี บุญซื่อ
ที่มา: thaipublica - https://thaipublica.org/2018/05/pridi100/