
วันนี้ (6 มิถุนายน 2568) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนพฤษภาคม 2568 เท่ากับ 100.40 เมื่อเทียบกับเดือนพผฤษภาคม 2567 ซึ่งเท่ากับ 100.98 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.57% โดยปัจจัยหลักมาจากการลดลงของราคาสินค้า ในกลุ่มอาหารสด โดยเฉพาะผักสุด และผลไม้สด จากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย
รวมทั้งมีการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า แก๊สโซฮอล์ และน้ำมันเบนชิน ตามสถานการณ์ราคาพลังงานในตลาดโลก สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนเมษายน 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลง 0.22% ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ
โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 7 จาก 133 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 8 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (บรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว)
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมิถุนายน 2568 คาดว่าจะอยู่ระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจฉัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อลดลงได้แก่
ราคาน้ำมันดิบดูใบในตลาดโลกต่ำกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และจะส่งผลให้ราคาแก๊สโซฮอล์ภายในประเทศปรับตัวลดลงทิศทางเดียวกัน ซึ่งส่งผลต่ออำนาจซื้อของประชาชนให้เพิ่มขึ้นขึ้น
ภาครัฐมีแนวโน้มมดำเนินมาตรการช่วยเหลือดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่า Ft งวดเดือนพฤษภาคม 2568 ลง 17 สตางค์ ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าลดลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย
ฐานของราคาผักสดจากปีก่อนที่อยู่ระดับสูง เนื่องจากได้รับผลกระทบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ขณะที่ในปี 2568 สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกมากขึ้น ส่งผลให้บริมาณผลผลิตเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ สำหรับปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเพื่อทั่วไปปรับลดราสินค้าเกษตรบางชนิดและเครื่องประกอบอาหารมีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนหน้า เช่น มะพร้าว กาแฟ เกลือป่น น้ำมันพืช และเนื้อสุกร เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 จากเดิมอยู่ที่ระหว่าง 0.3 - 1.3% (ค่ากลางร้อยละ 0.8) เป็นระหว่างร้อยละ 0.0 - 1.0 (ค่ากลางร้อยละ 0.5) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้ง
ที่มา : https://www.thansettakij.com/economy/trade-agriculture/629329