หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2568

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2568

กลับหน้าหลัก
10.04.2568 | จำนวนผู้เข้าชม 396

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2568

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2568 ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 102.32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีมูลค่า 3,031.72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่6,133.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 1 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.80 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้น หักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 4,032.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 121.29 อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวม ทองคำ) รายเดือน พบว่า เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.50 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2568

 ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567 และปี 2568

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

สถานการณ์การส่งออก

สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในเดือนแรกของปีนี้ คือ แพลทินัม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 1 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.72 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากที่มีการส่งออกเล็กน้อยในเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าเกือบทั้งหมดเป็นการส่งออกไปยังอินเดีย ร้อยละ 99.90 การส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญไปยังอินเดีย เนื่องจากช่องโหว่ในการจำแนกแพลทินัม จากแนวปฏิบัติในการนำเข้าแพลทินัม ข้อบังคับทางภาษีของอินเดียอนุญาตให้ ผลิตภัณฑ์ที่มีแพลทินัมอย่างน้อยร้อยละ 2 สามารถจัดประเภท เป็นสินค้าแพลทินัมได้ ผู้นำเข้าทองคำใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้เพื่อประกาศการนำเข้าของตนเป็นผลิตภัณฑ์แพลทินัม ทำให้หลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าทองคำที่สูงกว่า

ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 2 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 34.26 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 73.74 โดยราคาทองคำในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มสูงขึ้นจากเดือนมกราคมเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 2,894.73 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (World Gold Council) เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม โดยราคาทองคำทำสถิติสูงสุดที่ 2,937 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากแรงซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องกับประเทศคู่ค้าหลายประเทศ ทั้งยังมีหลายประเทศออก มาตรการภาษีตอบโต้ก่อให้เกิดสงครามการค้าขยายวงกว้างไปทั่วภูมิภาค รวมทั้งกองทุน SPDR Gold มีการซื้อทองคำสุทธิสูงถึง 41.91 ตัน

เครื่องประดับแท้ เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 13.66 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม ปรับตัวลดลงร้อยละ 3.04 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับทอง หดตัวลงร้อยละ 11.99 จากการส่งออกไปยังฮ่องกงและกาตาร์ ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 1 และ 4 ได้ลดลงร้อยละ 28.44 และร้อยละ 47.68 ตามลำดับ ขณะที่ตลาดอันดับ 2-3 และ 5 อย่างสหรัฐอเมริกา อิตาลี และสหราชอาณาจักร ยังเติบโตได้ร้อยละ 13.16, ร้อยละ 10.52 และร้อยละ 17.70 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกเครื่องประดับเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.18 มาจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับแรก อย่างสหรัฐอเมริกา อินเดีย เยอรมนี สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ได้สูงขึ้นร้อยละ 6.57, ร้อยละ 68.74, ร้อยละ 1.31, ร้อยละ 10.68 และร้อยละ 5.71 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกเครื่องประดับแพลทินัม มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 40.99 เนื่องจากการส่งออกไปยังฮ่องกง ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสิงคโปร์ ตลาดสำคัญอันดับ 1-2 และ 4-5 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.61, ร้อยละ 36.10, ร้อยละ 103.18 และ ร้อยละ 159.26 ตามลำดับ ส่วนตลาดอันดับที่ 3 อย่างสหรัฐอเมริกา หดตัวลงร้อยละ 2.17

พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 10.57 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.71 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็นพลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.34 เป็นผลจากการส่งออกไปยังอย่างฮ่องกง สหรัฐอเมริกา อิตาลีเบลเยียม และศรีลังกา ตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับสามารถเติบโตได้ร้อยละ 12.37, ร้อยละ 52.33, ร้อยละ 6.42, ร้อยละ 36.21 และร้อยละ 389.92 ตามลำดับ ส่วนพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.17 จากการส่งออกไปยังตลาดอันดับที่ 2 และ 5 อย่างสหรัฐอเมริกาและเบลเยียม ได้สูงขึ้นร้อยละ 107.32 และร้อยละ 119.58 ตามลำดับ ส่วนฮ่องกง อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ ตลาดสำคัญ อันดับที่ 1 และ 3-4 หดตัวลงร้อยละ 7.22, ร้อยละ 44.03 และ ร้อยละ 14.12 ตามลำดับ

เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.21 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าลดลงร้อยละ 30.05 โดยมีเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ ซึ่งปรับตัวลดลงร้อยละ 29.48 มาจากการส่งออกไปยังตลาดอันดับ 1, 3 และ 5 อย่างฮ่องกง เบลเยียม และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ลดลงร้อยละ 20.58, ร้อยละ 62.62 และร้อยละ 11.18 ตามลำดับ ส่วนสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ตลาดในอันดับ 2 และ 4 ยังเพิ่มขึ้นได้ร้อยละ 28.35 และร้อยละ 2.98 ตามลำดับ

ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้า ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567 และปี 2568

ที่มา: กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 121.29 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยอย่างอินเดีย สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อิตาลี สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2,048.36, ร้อยละ 31.61, ร้อยละ 8.56, ร้อยละ 4.37, ร้อยละ 13.80 และร้อยละ 4.37 ตามลำดับ ส่วนตลาดอันดับที่ 2, 7 และ 9-10 อย่างฮ่องกง เบลเยียม กาตาร์ และสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ ลดลงร้อยละ 8.09, ร้อยละ 21.24, ร้อยละ 46.92 และร้อยละ 29.99 ตามลำดับ

การส่งออกไป อินเดีย ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างแพลทินัม (ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 95) เพิ่มขึ้นจากที่ไม่เคยมีการส่งออกมาก่อนในเดือนเดียวกันของปี ก่อนหน้า รวมทั้งสินค้ารองลงมาอย่างเครื่องประดับเงินก็เติบโตถึงร้อยละ 68.74 ส่วนเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ลดลงร้อยละ 79.54, ร้อยละ 0.04 และร้อยละ 12.36 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ซึ่งปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน และอัญมณีสังเคราะห์ ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.33, ร้อยละ 107.32, ร้อยละ 13.16, ร้อยละ 6.57 และร้อยละ 1,143.42 ตามลำดับ ส่วนเพชรเจียระไน หดตัวลงร้อยละ 28.35

ส่วนการส่งออกไปยัง เยอรมนี ขยายตัวได้จากการส่งออกเครื่องประดับเงิน (ซึ่งเป็นสินค้าหลักครองสัดส่วนถึงร้อยละ 72) ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.31 รวมทั้งเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่าและเครื่องประดับเทียม ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 83.01 และร้อยละ 12.73 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ลดลงร้อยละ 9.08, ร้อยละ 11.22 และร้อยละ 47.66 ตามลำดับ

ขณะที่การส่งออกไป อิตาลี ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง รวมทั้งสินค้าสำคัญอื่น ๆ อย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.52, ร้อยละ 6.42 และร้อยละ 22.09 ตามลำดับ ส่วนพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเงิน หดตัวลงร้อยละ 44.03 และร้อยละ 5.58 ตามลำดับ

การส่งออกไป สหราชอาณาจักร ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทองและเครื่องประดับเงิน (ที่มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 82) และสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนและเครื่องประดับเทียม ได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.70, ร้อยละ 10.68, ร้อยละ 30.37 และร้อยละ 9.82 ตามลำดับ ส่วนพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน หดตัวลงร้อยละ 36.28

มูลค่าการส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง รวมทั้งสินค้าสำคัญรองมาอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า และเครื่องประดับแพลทินัม ได้สูงขึ้นร้อยละ 16.83, ร้อยละ 76.16 และร้อยละ 36.10 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับเงิน และเพชรเจียระไน ปรับตัวลงร้อยละ 8.20 และร้อยละ 34.85 ตามลำดับ 

สำหรับการส่งออกไป ฮ่องกง ที่มีมูลค่าลดลงนั้น มาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างเพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ได้ลดลงร้อยละ 20.58, ร้อยละ 28.44 และร้อยละ 7.22 ตามลำดับ ส่วนสินค้าหลักอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ยังเติบโตได้ร้อยละ 12.37 และร้อยละ 8.91 ตามลำดับ 

การส่งออกไปยัง เบลเยียม ซึ่งปรับตัวลงจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน (ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 23) ลดลงร้อยละ 62.62 ส่วนพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ยังเพิ่มขึ้นได้ร้อยละ 36.21 และร้อยละ 119.58 ตามลำดับ

ขณะที่การส่งออกไป กาตาร์ หดตัวลงนั้น เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง (มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 98) ได้ลดลงร้อยละ 47.68

ส่วนการส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ลดลงนั้น มาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน และพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ล้วนลดลง ร้อยละ 30.80, ร้อยละ 11.18, ร้อยละ 34.95 และร้อยละ 45.81 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับเงิน ยังขยายตัวได้ร้อยละ 18.71 


แผนภาพที่ 1 แผนภาพแสดงตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2568

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

บทสรุป

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยระหว่าง เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2568 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 102.32 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 121.29 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำ และมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิขยายตัวได้ร้อยละ 131.81 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3 โดยสินค้าสำคัญหลายรายการอย่าง เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับแพลทินัม พลอยเนื้อแข็งและ เนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเทียมล้วนเติบโตได้ดี 

ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567 และปี 2568

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาภาพรวมในปี 2568 นั้น มีความผันผวนจากนโยบายหลายประการของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลกระทบในทางลบต่อนานาประเทศดังเช่น การตั้งกำแพง ภาษีกับประเทศที่เกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดกับสหรัฐฯ สูงกว่าประเทศอื่น ซึ่งมีผลทางลบโดยตรงต่อการค้า การลงทุนกับเศรษฐกิจโลกและไทย แม้ว่าการลดลงของอัตราเงินเฟ้อและการลดอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ตาม โดยธนาคารโลกคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกเท่ากับปีก่อนที่ร้อยละ 2.7 

ทั้งนี้ สถานการณ์ส่งออกในสองเดือนแรกของปี 2568 ที่ผ่านมา พบว่า สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสามารถเติบโตได้ดีในหลายตลาด เนื่องจากได้รับแรงขับเคลื่อนจากภาคการ ผลิตและบริการสะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลก (Global Composite PMI) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ระดับ 51.5 จุด บ่งชี้ว่าทิศทางเศรษฐกิจโลกยังขยายตัว รวมทั้ง การจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในประเทศที่สำคัญ อย่างฮ่องกง อิตาลี และกาตาร์ สอดรับกับเทศกาลต่าง ๆ ช่วงต้นปี ทำให้ดึงดูดการบริโภคเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลายแบรนด์ได้ออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับเพื่อเสริมบุคลิกและความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้นด้วยการใช้ 12 บุคลิกทางธุรกิจ (Brand Archetypes) เพื่อเสริมความมีบุคลิกที่ชัดเจนของแบรนด์อันเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถสะท้อนผ่านโลโก้ การสื่อสาร โฆษณา การบริการลูกค้า และการออกแบบสินค้า จะสามารถสร้างความ เชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้งกระทั่งเป็นที่จดจำ เสริมสร้างความโดดเด่นให้แบรนด์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ได้ 

ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

เมษายน 2568


*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”

 

ภาวะอัญมณี, รายงานวิเคราะห์, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, GIT, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2568, สะสม 2 เดือน, มกราคม-กุมภาพันธ์, GIT Information Center