
สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2566
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2566 ลดลงร้อยละ 16.47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่า 9,779.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่8,168.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 4,784.45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 7.76 อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) รายเดือน พบว่า เดือนกรกฎาคม 2566 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 20.58 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2566
ตารางที่ 1 มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2565 และปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
สถานการณ์การส่งออก
สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดใน 7 เดือนแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.43 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม ซึ่งปรับตัวลดลงร้อยละ 36.63 ขณะที่ราคาทองคำโดยเฉลี่ยในตลาดโลกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 1,948.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) โดยมีแรงซื้อทองคำเพื่อทำกำไรระยะสั้นเข้ามาผลักดันให้ราคาเพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัจจัยกดดันราคาทองคำ ทั้งความกังวลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและการใช้นโยบายการเงินที่ เข้มงวดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อราคาทองคำอย่างการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ปัญหาในภาคสถาบันการเงินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศสำคัญ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองต่อไป
เครื่องประดับแท้ เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 2 ในสัดส่วนร้อยละ 29.33 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ซึ่งขยายตัวได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.20 โดยสินค้าส่งออกหลักคือเครื่องประดับทอง มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.18 จากการส่งออกไปยังตลาดอันดับที่ 2-5 อย่างฮ่องกง สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิตาลี ได้สูงขึ้นร้อยละ 201.52, ร้อยละ 16.88, ร้อยละ 18.13 และร้อยละ 56.58 ตามลำดับ มีเพียงสหรัฐอเมริกา ตลาดอันดับที่ 1 ลดลงร้อยละ 9.59 ส่วนเครื่องประดับเงิน หดตัวลงร้อยละ 16.60 เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ตลาดอันดับ 1-2 และ 4-5 ได้ลดลงร้อยละ 20.84, ร้อยละ 19.69, ร้อยละ 35.70 และร้อยละ 16.06 ขณะที่อินเดียซึ่งเป็นตลาดในอันดับ 3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.39 ตามลำดับ การส่งออกเครื่องประดับแพลทินัม ขยายตัวได้ร้อยละ 23.74 จากการส่งออกไปยังตลาดอันดับที่ 1 และ 4-5 อย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง และอิตาลีได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.36, ร้อยละ 152.51 และร้อยละ 284.31 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ตลาดในอันดับ 2 และ 3 ลดลงร้อยละ 3.59 และร้อยละ 18.50 ตามลำดับ
พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 มีสัดส่วนร้อยละ 14.47 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 102.13 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 94.12 เนื่องจากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี ตลาดทั้ง 5 อันดับแรก ได้สูงขึ้นร้อยละ 433.67, ร้อยละ 21.15, ร้อยละ 23.29, ร้อยละ 59.33 และร้อยละ 16.56 ตามลำดับ ส่วนพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 147.06 เป็นผลจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญใน 5 อันดับแรก อย่างฮ่องกง สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี เพิ่มขึ้นร้อยละ 472.36, ร้อยละ 62.59, ร้อยละ 155.31, ร้อยละ 179.28 และร้อยละ 139.73 ตามลำดับ
เพชร เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 4 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 9.01 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ปรับตัวลงร้อยละ 30.71 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 30.89 จากการส่งออกไปยังเบลเยียม อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ตลาดสำคัญในอันดับ 2-4 ได้ลดลงร้อยละ 12.99, ร้อยละ 82.34 และร้อยละ 44.33 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังตลาดอันดับ 1 และ 5 อย่างฮ่องกงและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 65.11 และร้อยละ 7 ตามลำดับ
เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 ในสัดส่วนร้อยละ 2.03 หดตัวลงร้อยละ 12.53 มาจากการ ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ลิกเตนสไตน์ ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นตลาดสำคัญใน 5 อันดับแรกได้ลดลงร้อยละ 8.24, ร้อยละ 6.15, ร้อยละ 36.99, ร้อยละ 13.56 และร้อยละ 4.73 ตามลำดับ
มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2566 นั้น มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.76 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านั้น ส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยบวกหลายประการอย่างการฟื้นตัวของการจ้างงานภาคบริการที่เพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ การเดินทางระหว่างประเทศมีส่วนสำคัญทำให้ภาคบริการและการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดี โดยดัชนี PMI ภาคการบริการ รวมไปถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศเศรษฐกิจสำคัญล้วนเติบโตสูง ทำให้มีแรงซื้อสินค้าเข้ามาต่อเนื่อง อีกทั้งการสวมใส่เครื่องประดับยังขยายความนิยมสู่วัยรุ่นที่หันมาสวมใส่เพื่อสร้างเอกลักษณ์และความโดดเด่นกันมากขึ้น เช่นเดียวกับการซื้อเพื่อการลงทุนที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยยังเติบโตได้ โดยไทยสามารถส่งออกไปยังฮ่องกง สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิตาลี และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดสำคัญอันดับ 1 และ 7- 10 ได้สูงขึ้นร้อยละ 163.58, ร้อยละ 67.62, ร้อยละ 23.14, ร้อยละ 42.11 และร้อยละ 8.59 ตามลำดับ ส่วนสหรัฐอเมริกา เยอรมนี อินเดีย สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ ตลาดอันดับ 2-6 ลดลงร้อยละ 11.06, ร้อยละ 18.49, ร้อยละ 61.72, ร้อยละ 11.88 และร้อยละ 7.75 ตามลำดับ
ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้า ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2565 และปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
มูลค่าการส่งออกไปยัง ฮ่องกง ซึ่งขยายตัวได้ดีนั้น มาจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้สูงขึ้น ได้แก่ พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน เพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเงิน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 433.67, ร้อยละ 472.36, ร้อยละ 65.11, ร้อยละ 201.52 และร้อยละ 25.37 ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไปยัง สิงคโปร์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทองและ เครื่องประดับแพลทินัม (ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 60) ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 363.88 และร้อยละ 46.36 ตามลำดับ รวมทั้งสินค้ารองมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไนและเพชรเจียระไนที่เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 55.99 และร้อยละ 52.42 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เติบโตได้นั้น มาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และสินค้าสำคัญรองมาอย่างเพชรเจียระไนและพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.25, ร้อยละ 11.89 และร้อยละ 241.87 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยัง อิตาลี สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเงิน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 56.58, ร้อยละ 16.56, ร้อยละ 139.73 และร้อยละ 58.15 ตามลำดับ
การส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ซึ่งเพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ได้สูงขึ้นร้อยละ 11.70, ร้อยละ 43.69 และร้อยละ 64.48 ตามลำดับ
ขณะที่การส่งออกไป สหรัฐอเมริกา ที่หดตัวลดลง เนื่องมาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง และเครื่องประดับเงิน ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 63 ได้ลดลงร้อยละ 9.59 และร้อยละ 20.84 รวมทั้งสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนที่ลดลงร้อยละ 44.33 ส่วนการส่งออกพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.15 และร้อยละ 62.59 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไปยัง เยอรมนี ซึ่งลดลงนั้น จากการส่งออกเครื่องประดับเงิน (เป็นสินค้าหลักในสัดส่วนร้อยละ 73) ลดลงร้อยละ 19.69 รวมทั้งสินค้าสำคัญอย่างเศษหรือของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่าและเครื่องประดับทองได้ลดลงร้อยละ 19.54 และร้อยละ 34.09 ตามลำดับ ส่วนสินค้ารองลงมาอย่างแพลทินัมและพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เพิ่มขึ้นร้อยละ 86.55 และร้อยละ 13.15 ตามลำดับ
การส่งออกไปยัง อินเดีย ที่มีมูลค่าลดลงเป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเพชรเจียระไน (มีสัดส่วนร้อยละ 34) ลดลงร้อยละ 82.34 ส่วนสินค้าสำคัญรองลงมาทั้งเครื่องประดับเงิน อัญมณีสังเคราะห์ พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ยังเติบโตได้ร้อยละ 38.39, ร้อยละ 8, ร้อยละ 0.04 และร้อยละ 72.47 ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกไปยัง สหราชอาณาจักร ซึ่งหดตัวลงนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับเงิน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้ลดลงร้อยละ 35.70, ร้อยละ 15.66 และร้อยละ 6.05 ตามลำดับ ขณะที่สินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง รวมทั้งเพชรเจียระไน และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน ยังขยายตัวได้ร้อยละ 16.88, ร้อยละ 86.40 และร้อยละ 39.49 ตามลำดับ
ส่วนการส่งออกไป สวิตเซอร์แลนด์ ที่ปรับตัวลงนั้น มาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไนและ เครื่องประดับเทียม ที่ลดลงร้อยละ 24.31 และร้อยละ 4.73 ตามลำดับ ขณะที่สินค้าสำคัญอื่น ๆ อย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
บทสรุป
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคมปีนี้ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 16.47 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.76 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำและมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.30 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3 โดยสินค้าของไทยที่เติบโตได้ดีคือ เครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน
ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2565 และปี 2566
ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่เดือนมิถุนายน พิจารณาได้จากดัชนี PMI จาก S&P Global ที่เริ่ม ปรับตัวลงจากจุดสูงสดในรอบปีที่ 54.3 จุด ในเดือนมิถุนายนสู่ระดับ 50.4 ในเดือนสิงหาคม แม้ว่าก่อนนี้จะได้แรงหนุนจากภาคบริการที่กลับมาเติบโตได้ดีในช่วงต้นปีแต่เริ่มมีแนวโน้มแผ่วลง สะท้อนให้เห็นภาวะชะลอตัวจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่ยังรุมเร้าหลายประเทศทั่วโลก ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของสถาบันการเงินทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป หรือปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีน จะส่งผลให้เศรษฐกิจจะชะลอตัวต่อเนื่อง จนถึงปี 2567 โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าจะมีการชะลอตัวลงมากกว่าประเทศอื่น ๆ ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนยังน่าเป็นห่วงจากปัญหาหลายประการที่จะทำให้ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ซึ่งความหวังอยู่ที่ภาครัฐในการทยอยออกมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและครัวเรือน นอกจากนี้ การตัดสินใจของ กลุ่ม OPEC+ ในการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิต 1.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่กรกฎาคมถึงกันยายน 2566 จะส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ทั้งยังเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการใช้น้ำมัน (ช่วงตั้งแต่กันยายน) ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
แม้ว่าสถานการณ์ในรอบ 7 เดือนแรกของปีนี้ การส่งออกยังขยายตัวได้จากปัจจัยบวกหลายประการ ทั้งจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของตลาดที่สำคัญโดยเฉพาะภาคบริการที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่แรงหนุนเริ่มมีการแผ่วตัวลงจากตลาดสำคัญหลายแห่งที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่พฤติกรรมการบริโภคสินค้าในปัจจุบันผู้ขายต้องลดอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในขั้นตอนของการซื้อสินค้าและบริการ เพื่อให้มีความลื่นไหล (Frictionless Shopping) และรองรับการปรับเปลี่ยนตามกระแสได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้ประกอบการควรตอบรับด้วยการสร้างรูปแบบสินค้าให้ปราศจากข้อจำกัดมากขึ้น อย่างเช่นสินค้าที่มีคอนเซ็ปต์ไม่จำกัดเพศ สามารถสวมใส่ได้ไม่ว่าจะเป็นเพศใด เพื่อตอบสนองกระแสการเปิดรับความมีเอกลักษณ์สร้างตัวตนในทุกรูปแบบหรือเครื่องประดับที่มีการใช้งานได้หลากหลาย (Functional Jewelry) รวมไปถึงการออกแบบช่องทางการนำเสนอสินค้าบนสื่อออนไลน์ให้เหมาะกับทุกอุปกรณ์ โดยเฉพาะการแสดงผลบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคนิยมใช้มากที่สุด เพราะสินค้าที่เข้าใจและเข้าถึงผู้บริโภคจึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุด
ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
กันยายน 2566
*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”