จีนประกาศตัดการนำเข้าสินค้าจากไต้หวันกว่า 2,000 รายการ และระงับการส่งออกทรายไปยังไต้หวัน เป็นหนึ่งวิธีการตอบโต้กรณีแนนซี เพโลซี (Nancy Pelosi) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาเดินทางมาเยือนไต้หวัน ซึ่งแสดงนัยทางการเมืองในทางที่สาธารณรัฐประชาชนจีนไม่พึงประสงค์
สถานการณ์ที่ยกระดับความตึงเครียดนี้ ทำให้ชาวโลกสนใจความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันมากขึ้นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นอย่างไร ซึ่งความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเป็นมิติสำคัญที่เราอยากชวนไปดูข้อมูลด้วยกัน
แม้มีความขัดแย้ง ไม่ยอมรับ ‘สถานะ’ กับ ‘หลักการ’ ของกันและกัน และไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต แต่ข้อมูลทางเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า จีนกับไต้หวันมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกันมาตลอด 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา
จีนกับไต้หวันเริ่มทำการค้ากันในปี 1979 หรือราว 30 ปีหลังเกิดสงครามกลางเมืองในจีนแผ่นดินใหญ่ อันเป็นเหตุให้พรรคก๊กมินตั๋ง นำโดย เจียงไคเช็ก ที่เป็นแกนนำรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐจีน (Republic of China) ต้องย้ายถิ่นฐานไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นบนเกาะฟอร์โมซาในปี 1949 (ซึ่งต่อมาเรารู้จักเกาะนี้ในชื่อว่า ‘ไต้หวัน’) ส่วนในจีนแผ่นดินใหญ่ พรรคคอมมิวนิสต์จีนสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China) ขึ้นในปีเดียวกันนั้น
ในช่วงแรกที่เริ่มทำการค้ากัน จีนกับไต้หวันไม่ได้เปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากันโดยตรง แต่ไต้หวันลงทุนและทำการค้าในจีนผ่านฮ่องกง ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มมีการค้าระหว่างกัน ไต้หวันเป็นฝ่ายเกินดุลการค้าจีนมาตลอด
ด้านการลงทุน ในช่วงปี 1979-1995 ไต้หวันนับเป็นต่างชาติที่ครองสัดส่วนการลงทุนในจีนมากเป็นอันดับ 2 รองจากฮ่องกง ทั้งในแง่จำนวนบริษัทที่ลงทุน และมูลค่าทุนจดทะเบียนต่างชาติ ซึ่งจำนวนบริษัทจากไต้หวันคิดเป็นสัดส่วน 12.3 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทต่างชาติทั้งหมดที่ลงทุนในจีน และมูลค่าทุนจดทะเบียนคิดเป็น 9.3 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทุนจดทะเบียนต่างชาติทั้งหมดในจีน
การลงทุนของไต้หวันที่หลั่งไหลเข้าไปในจีนเป็นผลมาจากภาคธุรกิจไต้หวันมองหาแหล่งแรงงานราคาถูก ซึ่งจีนก็ตอบโจทย์ในแง่นี้ อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เพราะมีประชากรจำนวนมาก บวกกับจีนออกระเบียบเพื่อดึงดูดนักลงทุนไต้หวันโดยเฉพาะในปี 1988 และในอีกทางหนึ่ง ปี 1987-1988 รัฐบาลไต้หวันก็ผ่อนคลายกฎระเบียบข้อบังคับหลายอย่าง ซึ่งนั่นทำให้นักลงทุนไต้หวันเข้าไปลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่เป็นจำนวนมาก และเริ่มมีการค้าผ่านช่องแคบไต้หวันกันโดยตรง ไม่ต้องผ่านฮ่องกง
ปี 1993 จีนขึ้นมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของไต้หวัน ด้วยมูลค่าการค้าระหว่างกัน 37,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับ 1 คือ สหรัฐอเมริกา อันดับ 2 คือญี่ปุ่น) และปี 1993 เช่นกันที่จีนกลายเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่อันดับ 2 ของไต้หวัน เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา ส่วนการลงทุน ปี 1993 เพียงปีเดียว ไต้หวันมีการลงทุนโดยตรงในจีนเป็นมูลค่าประมาณ 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นกว่า 66 เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนนอกประเทศทั้งหมดของไต้หวันในเวลานั้น
กระทั่งปี 2010 ถือเป็นปีสำคัญในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของจีนกับไต้หวัน มีการลงนามข้อตกลงกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กับจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อร่วมจัดระเบียบทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกัน
นับรวมจากปี 1991 ถึงปลายเดือนพฤษภาคม 2021 มีโครงการการลงทุนของไต้หวันที่ได้รับการอนุมัติให้ลงทุนในจีน 44,577 โครงการ เป็นมูลค่ารวม 193,510 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปี 2001 จีนกับไต้หวันมีมูลค่าการค้าระหว่างกันรวม 10,990 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2010 เพิ่มขึ้นเป็น 114,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็น 166,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกของไต้หวันไปยังจีน มากกว่ามูลค่าการส่งออกของจีนไปยังไต้หวันมาตลอด
จะเห็นว่า ช่วงเวลาจากปี 2010 ถึงปี 2021 มูลค่าการค้าระหว่างจีนกับไต้หวันเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าในช่วงปี 2001 ถึงปี 2010
ในยุคปัจจุบัน จีนยังเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไต้หวัน โดยไต้หวันส่งออกไปยังจีนเป็นมูลค่า 102,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2020 และส่งออกเป็นมูลค่า 125,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2021
ในทางกลับกัน จีนแผ่นดินใหญ่ก็เป็นแหล่งนำเข้าสินค้าอันดับ 1 ของไต้หวันเช่นกัน
การส่งออกของจีนไปยังไต้หวันในปี 2020 มีมูลค่า 63,590 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2021 มีมูลค่า 82,470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสำหรับฝั่งจีนนั้น ไต้หวันเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าอันดับที่ 5 ของจีน แต่ด้านการส่งออก ไต้หวันไม่ใช่ตลาดส่งออกที่สำคัญของจีน
ด้านการลงทุน ในปัจจุบันไต้หวันไม่ได้เป็นนักลงทุนรายใหญ่ของจีนแล้ว เพราะมีประเทศต่างๆ เข้ามาลงทุนในจีนมากขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา
เราสามารถพูดได้ว่าทั้งสองประเทศพึ่งพาอาศัยกันในทางเศรษฐกิจมานานหลายสิบปี ซึ่งถ้าดูจากตัวเลข ดูเหมือนว่าไต้หวัน (ที่เป็นผู้ขาย) จะเป็นฝ่ายพึ่งพิงจีน (ที่เป็นผู้ซื้อ) มากกว่า แต่ก็ยากที่จะพูดได้อย่างมั่นใจว่าความจริงเป็นอย่างนั้น เพราะสถานการณ์ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ทั้งการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่ป่วนอุตสาหกรรมของโลก และการที่ราคาสินค้าสูงขึ้นเพราะซัพพลายหายจากตลาดเนื่องจากสถานการณ์ในยูเครน แสดงให้เราเห็นแล้วว่า ผู้ผลิต-ผู้ขายมีความสำคัญต่อโลกแค่ไหน และถ้าพูดในด้านการลงทุน การที่ไต้หวันเคยเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่อันดับ 2 ของจีนในอดีต ถือว่าไต้หวันก็น่าจะมีบทบาทต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย
เมื่อพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party: DPP) ขึ้นมาเป็นรัฐบาลของไต้หวันในปี 2016 ความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวันเพิ่มขึ้น ไต้หวันพยายามจะลดการพึ่งพาจีนลง บวกกับความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการที่ความต้องการซื้อสินค้าเทคโนโลยีลดลงในปี 2015 รัฐบาลไต้หวันจึงมีนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southbound Policy) เริ่มต้นในปี 2016 เป็นโครงการส่งเสริมให้เอกชนหาแหล่งลงทุนใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในอีกทางหนึ่งรัฐบาลไต้หวันก็ส่งเสริมให้เอกชนที่ลงทุนในจีนถอนทุนย้ายกลับบ้าน โดยในช่วงปี 2019-2021 รัฐบาลมีนโยบายจะช่วยเหลือบริษัทที่จะกลับไปลงทุนในไต้หวันในสิ่งที่จำเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน การเงิน น้ำกับไฟฟ้า และภาษี ขณะเดียวกัน รัฐบาลไต้หวันก็ดำเนินนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้วย
ประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ของไต้หวัน ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) และดำเนินนโยบายเป็นมิตรต่อธุรกิจโดยมอบสิ่งจูงใจต่างๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ไต้หวันมาตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จอย่างสูงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ในปี 2019 และ 2020 บริษัทสัญชาติไต้หวันอย่างน้อย 209 บริษัทย้ายกลับจากประเทศจีน และลงทุนในไต้หวันเป็นมูลค่ารวมประมาณ 750,000 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 870,000 ล้านบาท สร้างงานในไต้หวันมากกว่า 65,000 ตำแหน่ง ในช่วงเวลาเดียวกันบริษัทใหญ่ระดับโลกอย่าง Microsoft และ Intel ก็ขยายการลงทุนในไต้หวันด้วย
ถ้ามองจากฝั่งของจีน การที่บริษัทไต้หวันถอนทุนออกมาก็อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจีนมากนัก เพราะการลงทุนจากไต้หวันคิดเป็นสัดส่วนไม่มากในระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีน
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ของจีนในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้คือปัญหาภายในที่เศรษฐกิจไม่สู้ดีอยู่แล้วจากหลายๆ ปัจจัยลบ
สถานะทางเศรษฐกิจของไต้หวันในเวลานี้ แม้จะเป็นดินแดนเล็กๆ แต่ก็เนื้อหอม มีความสำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก เพราะไต้หวันเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) รายใหญ่ที่สุดในโลก เรียกได้ว่ากุม ‘หัวใจ’ ของหลายๆ อุตสาหกรรมทั่วโลกอยู่
สำหรับไต้หวันเอง อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เรียกได้ว่าเป็นฮีโร่ของเศรษฐกิจไต้หวัน มีข้อมูลจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (Industrial Technology Research Institute: ITRI) ว่า มูลค่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันในปี 2021 อยู่ที่ประมาณ 146,760 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.7 เปอร์เซ็นต์จากปี 2020 และคาดการณ์ว่าในปี 2022 นี้ จะเพิ่มขึ้นอีก 17.7 เปอร์เซ็นต์ เป็นมูลค่าประมาณ 162,475 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทหัวหอกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวัน คือ TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company ที่เป็นอันดับ 1 ในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ประเภท non-memory chip ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่มากถึง 53 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตลาดนี้มีขนาดใหญ่เป็นประมาณ 150 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1.5 เท่า ของตลาด memory chip และยังไม่นับว่าใน 8 บริษัทที่ครองตลาดการผลิตชิปสูงสุด เป็นบริษัทสัญชาติไต้หวันอยู่ถึง 4 บริษัท
เซมิคอนดักเตอร์สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก และเป็นสิ่งที่สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญถึงขนาดจะออกกฎหมายเฉพาะ จูงใจให้บริษัทผู้ผลิตชิปเข้าไปตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ เพื่อความมั่นคงของซัพพลายเชน และในทริปเยือนไต้หวัน แนนซี เพโลซี ได้พบปะหารือกับผู้บริหาร TSMC ด้วย ซึ่งเพโลซีแสดงความเป็นห่วงว่าจีนจะใช้กำลังยึดครอง TSMC ได้แล้วส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทั่วโลก
ส่วนฝั่งผู้บริหาร TSMC ให้ความมั่นใจว่า ไม่มีใครใช้กำลังควบคุม TSMC ได้ ถ้าใช้กำลังเข้าควบคุมก็จะทำให้โรงงานดำเนินการผลิตไม่ได้ เพราะโรงงานผลิตชิปของ TSMC มีกระบวนการที่ซับซ้อน และหลายกระบวนการมีการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์กับบริษัทในยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ดังนั้น หากเกิดสงครามหรือการใช้กำลัง ทุกฝ่ายจะมีแต่เสียกับเสีย
สถานการณ์ความตึงเครียดในเวลานี้จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของจีนกับไต้หวันขนาดไหน อาจจะยังไม่เห็นผลมากในเร็วๆ นี้ และคงไม่ถึงขั้นขาดสะบั้นกันไป เช่นกันกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของจีนกับสหรัฐฯ ที่แม้จะมีความขัดแย้งและทำสงครามการค้ากัน แต่ก็ยังมีประโยชน์ระหว่างกันที่ตัดไม่ได้
แล้วเรา ชาวไทยและชาวโลก (อาจ) จะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง?
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด วิเคราะห์เรื่องนี้ว่า การเดินทางเยือนไต้หวันของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม 2 แง่มุม คือ แง่มุมความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะเกิดการใช้กำลังระหว่างประเทศ และแง่มุมของการค้าระหว่างประเทศ อย่างน้อยที่สุดทำให้ความคาดหวังว่ากำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ-จีน (trade war) ที่ก่อนหน้านี้มีลุ้นว่าจะผ่อนคลาย อาจต้องล้มเลิกไป
จากการที่ฝ่ายวิจัยของเอเซีย พลัส ได้ศึกษาผลกระทบต่อ SET Index ในช่วงที่มีการประกาศกำแพงภาษีแต่ละรอบ พบว่าดัชนีมีการปรับลดลงเฉลี่ย 7-10 เปอร์เซ็นต์
เอเซีย พลัส มองว่าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจสร้าง downside ในเชิงเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ธนาคารโลก (World Bank) และองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ทยอยปรับลดคาดการณ์จีดีพีโลกลงก่อนหน้านี้
ส่วนผลกระทบต่อประเทศไทย ในกรณีเลวร้าย จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้การค้าระหว่างประเทศสะดุด ซึ่งภาคการส่งออกนั้นเป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างจีดีพีของไทย คิดเป็นสัดส่วนราว 68 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ซึ่งไทยมีสัดส่วนการค้ากับจีนมากที่สุดราว 128,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2021 หรือคิดเป็นราว 22 เปอร์เซ็นต์ของประเทศคู่ค้าทั้งหมด และการค้ากับสหรัฐฯ มีมูลค่าการค้าราว 61,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนราว 11 เปอร์เซ็นต์ของประเทศคู่ค้าทั้งหมด รวมสัดส่วนการค้าทั้งสองประเทศคิดเป็น 33 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 3 ของการค้าระหว่างประเทศทั้งหมดของไทย
ในมุมมองของภาคธุรกิจไทยมองไปในทางบวกมาก คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มองว่า สถานการณ์ความตึงเครียดนี้จะเป็นโอกาสของไทยในด้านการส่งออก ที่ไทยมีโอกาสส่งสินค้าออกไปทดแทนซัพพลายจากประเทศคู่ขัดแย้งที่อาจจะมีการตั้งกำแพงทางการค้ากันมากขึ้น และในด้านการเป็นฐานการผลิต ที่คาดว่าบริษัทส่วนหนึ่งจะพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศที่มีความขัดแย้ง ซึ่งไทยอาจจะได้รับเลือกให้เป็นฐานการผลิตใหม่ทดแทน
ที่มา
https://plus.thairath.co.th/topic/money/101901