หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม ปี 2565

สถานการณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม ปี 2565

กลับหน้าหลัก
14.03.2565 | จำนวนผู้เข้าชม 4577

สถานการณ์อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย เดือนมกราคม ปี 2565

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2565 ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 50.89 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2564 ที่มีมูลค่า 508.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 767.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.61 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 580.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 48.16 โดยเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องติดต่อกันนับจากปีก่อน

ตารางที่ 1  มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในเดือนมกราคม ปี 2564 และปี 2565

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

สถานการณ์การส่งออก

สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในเดือนแรกของปีนี้ คือ เครื่องประดับแท้ ในสัดส่วนร้อยละ 35.36 ของมูลค่าการ ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.66 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับเงิน ขยายตัวได้ ร้อยละ 17.80 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และอินเดีย ตลาดสำคัญในอันดับที่ 1, 3 และ 4 ได้ สูงขึ้นร้อยละ 8.20, ร้อยละ 288.66 และร้อยละ 10,788.45 ตามลำดับ โดยการส่งออกไปยังอินเดียปรับตัวสูงขึ้นมาก จากการทำตลาดของผู้ค้าเครื่องประดับเงินในเขตเมืองรองและเขตชนบท ทำให้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในหมู่หนุ่มสาวชาวอินเดีย กลายเป็นกระแสความนิยมเพิ่มขึ้น นับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ขณะที่การส่งออกไปยังเยอรมนีและจีน ตลาดในอันดับ 2 และ 5 ปรับตัวลงร้อยละ 9.74 และร้อยละ 14.97 ตามลำดับ การส่งออก เครื่องประดับทอง เติบโตขึ้นร้อย ละ 52.01 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญอันดับที่ 1, 2, 4 และ 5 อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิตาลี ขยายตัวได้ร้อยละ 74.84, ร้อยละ 83.70, ร้อยละ 10.88 และร้อยละ 156.31 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังฮ่องกง ตลาดในอันดับ 3 ลดลงร้อยละ 2.80 การส่งออก เครื่องประดับแพลทินัม หดตัวลงร้อยละ 19.91 จากการส่งออก ไปยังสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฮ่องกง ตลาดในอันดับที่ 1, 2 และ 5 ได้ ลดลงร้อยละ 30.09, ร้อยละ 6.32 และร้อยละ 45.64 ตามลำดับ ส่วนสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ตลาดอันดับที่ 3 และ 4 ยังเติบโตได้ร้อยละ 29.32 และร้อยละ 53.49 ตามลำดับ

ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป เป็น สินค้าส่งออกในอันดับ 2 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 24.39 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 60.04 โดยราคาทองคำในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,816.76 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) โดยมีปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่สูง ถึงระดับร้อยละ 7.5 สูงสุดในรอบ 40 ปี แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีการปรับลดวงเงินซื้อคืนพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แล้ว แต่ยังไม่อาจสกัดเงินเฟ้อได้ อีกทั้งความกังวลต่อการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกองทุน SPDR ที่กลับมาซื้อทองคำสุทธิในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 38.6 ตัน จึงหนุนให้อุปสงค์ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำใน ตลาดโลกเพิ่มขึ้น

เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและ เครื่องประดับไทย มีมูลค่าเพิ่มสูงถึงร้อยละ 79.95 โดย เพชรเจียระไน เป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ เติบโตได้ร้อยละ 83.38 เนื่องจากการส่งออกไปยังอินเดีย ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล ตลาดในอันดับ 1, 2, 4 และ 5 ได้สูงขึ้นร้อยละ 254.06, ร้อยละ 32.24, ร้อยละ 121.07 และร้อยละ 59.50 ตามลำดับ ขณะที่เบลเยียม ตลาดในลำดับที่ 3 ลดลงร้อยละ 4.91

พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 11.62 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 100.27 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และ มรกต) ซึ่งเติบโตขึ้นร้อยละ 86.83 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา อิตาลี และสหราชอาณาจักร ตลาดสำคัญอันดับที่ 1, 3 และ 4 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 366.43, ร้อยละ 196.30 และร้อยละ 232.02 ตามลำดับ ส่วนฮ่องกงและสวิตเซอร์แลนด์ตลาดอันดับที่ 2 และ 5 หดตัวลงร้อยละ 26.13 และร้อยละ 17.69 ตามลำดับ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน เติบโตได้ร้อยละ 142.32 เนื่องจากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ อินเดีย และอิตาลี ตลาดใน 5 อันดับแรก ล้วนแล้วแต่เติบโตได้ร้อยละ 727.98, ร้อยละ 104.29, ร้อยละ 13, ร้อยละ 15.02 และร้อยละ 116.42 ตามลำดับ

เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.58 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.26 จาก การส่งออกไปยังลิกเตนสไตน์ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และฝรั่งเศส ตลาดในอันดับที่ 1-4 ได้สูงขึ้นร้อยละ 76.20, ร้อยละ 37.79, ร้อยละ 43.83 และร้อยละ 59.53 ตามลำดับ ขณะที่สิงคโปร์ ตลาดส่งออกอันดับที่ 5 ปรับตัวลดลงร้อยละ 13.43

มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนแรกของปี 2565 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.16 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความต่อเนื่อง โดยการส่งออกของไทยในเดือนแรกของปี 2565 ยังคงมีทิศทางเติบโตต่อจากปีก่อน เนื่องจากปัญหาความล่าช้าในการผลิตและการขนส่งในห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) มีทิศทางการฟื้นตัวดีขึ้น แม้จะมีการคาดการณ์ว่าปีนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวลง แต่แนวโน้มความต้องการสินค้าในตลาดโลกยังคงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความเสี่ยงด้านการระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่มีผลกระทบไม่รุนแรงมากนักต่อการดำเนินชีวิต จึงเป็นปัจจัยส่งเสริมให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยขยายตัวได้ โดยไทยส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย ฮ่องกง เยอรมนี สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และอิตาลีตลาดในอันดับ 1-6 และ 10 มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 82.69, ร้อยละ 164.87, ร้อยละ 9.39, ร้อยละ 3.19, ร้อยละ 209.29, ร้อยละ 51.97 และร้อยละ 172.53 ตามลำดับ

ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในเดือนมกราคม ปี 2564 และปี 2565

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

การส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ที่เติบโตได้นั้น เนื่องจาก การส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงิน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเพชรเจียระไน ล้วนแต่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 74.84, ร้อยละ 8.20, ร้อยละ 366.43, ร้อยละ 727.98 และร้อยละ 121.07 ตามลำดับ

สำหรับการส่งออกไป อินเดีย ที่มีมูลค่าสูงขึ้นนั้น เป็นผลจากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่มีสัดส่วนสูงสุดราวร้อยละ 71 ได้สูงขึ้นถึงร้อยละ 254.06 รวมทั้งสินค้าสำคัญถัดมาอย่างเครื่องประดับเงิน อัญมณีสังเคราะห์ พลอยเนื้อแข็ง และเนื้ออ่อนเจียระไนล้วนเติบโตทุกรายการ

ส่วนการส่งออกไปยัง ฮ่องกง ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน พลอยเนื้ออ่อน เจียระไน และเครื่องประดับเทียม ที่ยังขยายตัวได้ร้อยละ 32.24, ร้อยละ 104.29 และร้อยละ 43.83 ตามลำดับ

ขณะที่การส่งออกไปยัง เยอรมนี ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง และ เครื่องประดับเทียม สามารถเติบโตได้ดีร้อยละ 72.77 และ ร้อยละ 44.95 ตามลำดับ ส่วนสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับเงิน ลดลงร้อยละ 9.74

มูลค่าการส่งออกไปยัง สหราชอาณาจักร สามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง พลอย เนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ต่างมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 288.66, ร้อยละ 83.70, ร้อยละ 232.02, ร้อยละ 927.42 และร้อยละ 40.95 ตามลำดับ

ขณะที่การส่งออกไป ออสเตรเลีย ที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น มาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ที่มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 71.92, ร้อยละ 55.64 และร้อยละ 139.68 ตามลำดับ ส่วนสินค้าที่หดตัวลง คือ เครื่องประดับเงิน และเครื่องประดับเทียม

มูลค่าการส่งออกไปยัง อิตาลี ที่เพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญทุกรายการอย่างเครื่องประดับทอง พลอย-เนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน เพชรเจียระไน และ เครื่องประดับเงิน ล้วนแต่มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 156.31, ร้อยละ 196.30, ร้อยละ 116.42, ร้อยละ 100.62 และร้อยละ 126.81 ตามลำดับ

สำหรับการส่งออกไปยัง สิงคโปร์ ที่ปรับตัวลดลงนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับแพลทินัม เครื่องประดับเทียม และเครื่องประดับเงิน ได้ลดลงร้อยละ 30.09, ร้อยละ 13.43 และร้อยละ 51.23 ตามลำดับ ส่วนสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง ยังเติบโตได้ร้อยละ 62.58

การส่งออกไปยัง เบลเยียม ที่หดตัวลงนั้น เนื่องมาจากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 89 ได้ลดลงร้อยละ 4.91 ขณะที่สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น คือ พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับทอง

ส่วนการส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ที่ลดลงนั้น เป็นผลจากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการอย่างเครื่องแพลทินัม เศษหรือ ของที่ใช้ไม่ได้ทำด้วยโลหะมีค่า และเพชรเจียระไน หดตัวลง ร้อยละ 6.32, ร้อยละ 27.85 และร้อยละ 35.44 ตามลำดับ

แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี 2564

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

บทสรุป

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในเดือนแรกของปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.89 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย เมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.16 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำฯ และมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.86 มีรายละเอียด ดังตารางที่ 3

ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในเดือนมกราคม ปี 2564 และปี 2565

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนแรกของปีนี้ที่เติบโตนั้น เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประชากรเกือบทั้งหมด ทั้งยังมีการฉีดวัคซีนบูสเตอร์เข็ม 3-4 ในประชากรจำนวนมาก ช่วยลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้ห่วงโซ่ภาคการผลิตมีความต่อเนื่องมากขึ้น อีกทั้งยังมีความต้องการสินค้าในตลาดโลกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนภาคการส่งออกในหลายสินค้าของไทยรวมทั้งอัญมณีและเครื่องประดับให้เติบโตได้ต่อเนื่อง สำหรับสินค้าที่มีความโดดเด่นของไทย คือ เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม รวมทั้งเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน

แม้ว่าภาพรวมในตลาดโลกมีการฟื้นตัวของการบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญทำให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตในหลายประเทศ แต่สถานการณ์เริ่มมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 จากการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มิถุนายน 2525 ที่อัตราร้อยละ 7.5 ส่งผลให้ธนาคารโลกปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2565-2566 เติบโตลดลงเป็นร้อยละ 4.1 และร้อยละ 3.2 ตามลำดับ โดยมีปัจจัยเฝ้าระวังอย่างอัตราเงินเฟ้อ หนี้สินที่สูงขึ้น และความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา อีกทั้งปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าเพชรในตลาดโลก กลายเป็นปัจจัยกดดันใหม่ที่ต้องจับตามองและให้ความสำคัญ เช่นเดียวกับสถานการณ์อื่นที่ยังคงไม่คลี่คลายไป

ทั้งนี้สถานการณ์ในเดือนแรกของปีนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างทั้งจากปัจจัยเดิมและปัจจัยใหม่ที่เกิดขึ้นกระตุ้นให้ การเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลมีช่องทางหรือรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายรูปแบบทำให้การประกอบธุรกิจยังไม่อาจใช้รูปแบบการค้าแบบเดิมได้ การผสานช่องทางหน้าร้านและออนไลน์ยังมีความจำเป็นและสำคัญมากขึ้น ดังนั้น การเลือกช่องทางที่ใช่และเหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องเลือกเฟ้นให้ เหมาะสมในการใช้งาน จึงจะทันกระแสและสามารถแข่งขันใน ตลาดยุคดิจิทัลได


ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)



*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”

นำเข้าส่งออกอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, GIT, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2565, สะสม 1 เดือน, มกราคม, THTI, Fashion Intelligence Unit, FIU, FIU'_65