หน้าแรก / THTI Insight / ความเคลื่อนไหวอุตสาหกรรม / แนวโน้มสำคัญ 10 ประการในการผลักดันอุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลก

แนวโน้มสำคัญ 10 ประการในการผลักดันอุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลก

กลับหน้าหลัก
12.06.2561 | จำนวนผู้เข้าชม 4938

แนวโน้มสำคัญ 10 ประการในการผลักดันอุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลก

ทุกปีอุตสาหกรรมแฟชั่นจะได้รับรูปลักษณ์ใหม่ มิติใหม่ ซึ่งอาจมองไปได้ทั้งในแง่ดีหรือในแง่ร้ายสำหรับนักธุรกิจ ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะทราบแนวโน้มในอนาคตเนื่องจากจะทำให้สามารถรับมือกับแนวโน้มดังกล่าวได้ McKinsey & Company และ Business of Fashion กล่าวในรายงานว่า “ความไม่แน่นอน” และ “ความท้าทาย” ยังคงเป็นตัวบ่งชี้ระดับต้นๆ สำหรับนักธุรกิจที่จะใช้อธิบายสถานะของภาคธุรกิจ ตามมาด้วย “การมองสิ่งต่างๆ ในแง่บวก”

1. การไม่สามารถคาดเดาได้กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์ และการไม่สามารถคาดเดาได้คือความเป็นจริงในปัจจุบันของอุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลก การปิดร้านค้า การว่างของพื้นที่ตามห้างสรรพสินค้า หรือการครอบงำที่เพิ่มมากขึ้นของการช็อปปิ้งออนไลน์ กลับกลายเป็นเสริมให้ผู้ประกอบการในธุรกิจแฟชั่นสามารถที่จะสร้างโอกาสทางการค้าอย่างต่อเนื่องและปรับตัวเข้ากับภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงได้โดยมุ่งเน้นที่ทรัพยากรของตนเองและการบริการผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทแฟชั่นคาดว่าจะมีการนำมาใช้ซึ่งเทคโนโลยีที่มากขึ้น รวมถึง AI (Artificial Intelligence) เพื่อให้มีคล่องตัวท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมือง ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ และความท้าทายด้านการค้าระหว่างประเทศที่อาจเพิ่มมากขึ้นในปี 2018 ในขณะที่ความไม่แน่นอนเป็นคำที่ดีที่สุดในหมู่ผู้บริหาร โดยประมาณร้อยละ 21 ของผู้บริหารกล่าวว่า การ "มองในแง่ดี" เป็นคำที่ควรจะใช้ในการอธิบายอุตสาหกรรมในปี 2018

2. เริ่มต้นใหม่ในโลกาภิวัตน์

รายงานของ McKinsey & Company กล่าวว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งเกิดจากการเชื่อมต่อแบบดิจิตอลและการไหลเวียนของข้อมูลและจะนำไปสู่ความเชื่อมโยงทั่วโลกมากขึ้น แบนด์วิดธ์ข้ามพรมแดน (Cross-border bandwidth ) ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 80 เท่าตั้งแต่ปี 2005 และในช่วงสิบปีที่ผ่านมากระแสข้อมูลได้ยกระดับ GDP ของโลกขึ้นกว่าร้อยละ 10 ปัจจุบันกระแสข้อมูลเป็นส่วนแบ่งผลกระทบต่อ GDP มากกว่าการค้าสินค้าบริการทั่วโลก

ยิ่งไปกว่านั้นคาดว่า ผู้บริโภคจะมีการใช้จ่ายผ่านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนโดยมูลค่าถึง 1 ล้านล้านเหรียญภายในปี 2020 และมีผู้คนกว่า 900 ล้านคนที่มีการเชื่อมต่อระหว่างประเทศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการแฟชั่นมีโอกาสเติบโตฐานนักช้อปและเพิ่มยอดขาย รายได้จากระบบดิจิตอลทั่วโลก

3. เอเชียก้าวขึ้นเป็นผู้นำแฟชั่น

บริษัทในซีกโลกฝั่งตะวันตก กำลังเผชิญกับการแข่งขันมากขึ้นจากภูมิภาคเอเชียในปี 2018 เนื่องจากทวีปเอเซียมีสัดส่วนของผู้ค้าอีคอมเมิร์ซทั่วโลกถึงร้อยละ 60 - มากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดค้าปลีกออนไลน์ทั่วโลกและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีมากมาย ในปี 2018 McKinsey & Company คาดว่า เอเชียจะมียอดขายเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าทั่วโลกเกือบร้อยละ 40 โดยตลาดเครื่องแต่งกายออนไลน์ของเอเชียถูกคาดว่าจะมีมูลค่าการค้าขายถึง 1.4 ล้านล้านเหรียญภายในเวลา 2 ปีนับขากนี้ ในขณะที่ทวีปเอเชียยังคงก้าวต่อไปตามความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่มีความเข้าใจแบบดิจิทัล ทุกอย่างจะหมุนหันกลับ บริษัทในเอเชียจะเคลื่อนไหวการขยายตัวไปยังฝั่งตะวันตก ทำนองเดียวกันกับบริษัทในฝั่งตะวันจกที่เคยย้ายมาทางทิศตะวันออกในยุคก่อน อาทิเช่น ย้าย-ขยายไปในอเมริกาแอฟริกาและสหภาพยุโรป

4. การปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้บริโภคแบบรายเฉพาะบุคคล

ผู้ประกอบธุรกิจแฟชั่นระดับโลก กำลังขยับโฟกัสไปที่ผู้บริโภคแบบรายบุคคลและจัดลำดับความสำคัญในเรื่องความพยายามเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความภักดีและการจำหน่ายสินค้า ตามรายงานระบุว่าร้อยละ 41 ของผู้บริโภคต้องการความเป็นส่วนตัวในการช็อปปิ้งมากขึ้นเพื่อความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้ประกอบธุรกิจแฟชั่นคาดวังที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนตัวมาปรับแต่งการผลิตและจำหน่ายสินค้าของตน และมีส่วนร่วมกับผู้มีอิทธิพลด้านสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมสัมผัสกับความต้องการของผู้บริโภคแต่ละรายโดยการอำนวยความสะดวกให้กับประสบการณ์ออนไลน์ทางดิจิตอลและในร้านค้า

5. แพลตฟอร์มออนไลน์มาก่อน

ในปี 2018 McKinsey & Company คาดการณ์ว่า แพลตฟอร์มออนไลน์ทั่วโลกอย่างเช่น Amazon และ Tmall จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 2-3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากที่ผู้บริโภคจะใช้เว็บไซต์เพื่อเปรียบเทียบราคาและผลิตภัณฑ์ แพลตฟอร์มออนไลน์ทั่วโลกถูกคาดว่าจะขยายความเป็นหุ้นส่วนด้านแบรนด์แฟชั่นและพัฒนาวิธีการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันในพื้นที่ช็อปปิ้งดิจิทัลได้ ในปี 2018 ความท้าทายนี้จะไม่ได้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกันกับแพลตฟอร์มออนไลน์อีกต่อไป แต่จะเป็นอย่างไรเกี่ยวกับแบรนด์แฟชั่นที่สามารถใช้พันธมิตรเหล่านี้เพื่อเพิ่มการแสดงออนไลน์ของพวกเขาและดึงดูดผู้บริโภคได้มากขึ้น นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมของร้านค้าแบบ the brick-and-mortar store

6. มือถือสร้างแรงเหวี่ยงในการทำกำไร

ตามข้อมูลของ McKinsey & Company จะมีมูลค่าการทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 8-20 เท่าในปี 2018 เมื่อเทียบกับปี 2015 ด้วยโซลูชั่นการชำระเงินผ่านมือถือที่เปิดให้บริการทั่วโลกมากขึ้น ผู้บริโภคจะสามารถเรียกชำระเงินให้บริษัทแฟชั่นได้ตามต้องการ จ่ายค่าผลิตภัณฑ์ได้ง่าย โดยคาดว่าจะมีการสร้างตัวเลือกการทำธุรกรรมบนมือถือ รวมถึงการชำระเงินออนไลน์ที่ง่ายดายและชำระเงินด้วยตนเองในร้านค้าแบบดั่งเดิม

7. AI ยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นสู่ระดับต่อไป

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาทำลายระบบห่วงโซ่คุณค่าแฟชั่นแบบเดิม ด้วยการทำให้การจัดหาผลิตภัณฑ์ การผลิตและการจัดจำหน่ายเป็นไปอย่างราบรื่น ปีนี้ AI จะไปไกลกว่าการดำเนินงานของเครื่องและสร้างรูปแบบของกระบวนการสร้างสรรค์และการปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค รายงานระบุว่าร้อยละ 75 ของบริษัทแฟชั่นวางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนใน AI ในปี 2018 และ 2019 เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ยังคงเป็นแนวทางที่ช่วยในการแก้ปัญหาทางธุรกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนของธุรกิจค้าปลีก ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า AI น่าจะเป็นประโยชน์ต่องานแฟชั่นระดับโลก ซึ่งจะช่วยให้บริษัทร่วมให้ความสำคัญกับผู้บริโภคและสร้างโอกาสในการจ้างงานในศูนย์กระจายสินค้าที่มีเทคโนโลยีสูงทั่วโลก

8. การพัฒนาอย่างยั่งยืนเปลี่ยนไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy)

บริษัทแฟชั่นหลายๆ บริษัท, มากขึ้นและมากขึ้น, กำลังพัมนาความยั่งยืนของตนเอง นอกเหนือจากความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท (CSR) และสร้างความเป็นส่วนหนึ่งของวัฎจักรในทุกๆ จุดในห่วงโซ่อุปทานของพวกเขา จากการจัดหาเพื่อการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ บริษัทแฟชั่นจะสำรวจแนวความคิดในการรีไซเคิลอย่างสร้างสรรค์รวมถึงเส้นใยที่ทำจากขวดพลาสติกรีไซเคิลและเสื้อผ้าที่นำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อทำให้ห่วงโซ่คุณค่าแฟชั่นระดับโลกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ปี 2017 ร้อยละ 42 ของแบรนด์แฟชั่น แบ่งปันข้อมูลซัพพลายเออร์ของตนในความพยายามที่จะโปร่งใสกับผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งคาดการณ์ว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องและเพิ่มมากขึ้นตามกระแสการอนุลักษณ์โลก

9. การลดราคายังคงเป็นดาบสองคม

ผู้บริโภครักการต่อรองราคาและผู้ค้าปลีกราคาไม่แพงอย่างเช่น TJ Maxx และ Saks Off Fifth จะยังคงเป็นที่นิยมในปี 2018 ในขณะที่ความท้าทาย, รวมไปถึงการสต็อกสินค้าส่วนเกินและการเติบโตที่ชะลอตัว, ยังคงเป็นความไม่แน่นอนแบบถาวรของธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลกกำลังกลายเป็นสินค้าลดราคา (Off-price product) เพื่อเพิ่มยอดขายและสร้างผู้บริโภค ตามรายงาน-การเติบโตของการขยายลดราคาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18 ในสหรัฐฯ, ร้อยละ 32 ในสหภาพยุโรปและร้อยละ 74 ในประเทศจีน ในขณะที่แรงเหวี่ยงของการขนายลดราคาพุ่งแรงในปี 2018 บริษัทแฟชั่นจะต้องระมัดระวังในเรื่องของหมวดหมู่เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อการพังทลายของกำไร

10. เริ่มต้นความคิดใหม่

ความคล่องตัว การทำงานร่วมกัน และความเก่ง ถูกคาดว่าจะกลายเป็นบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมใหม่ๆ ของ บริษัทแฟชั่นในปี 2018 บริษัทแฟชั่นจะต้องมีประสบการณ์และความสามารถในการแข่งขันกับรูปแบบใหม่ของความสามารถพิเศษ วิธีการทำงานแบบใหม่ การเป็นหุ้นส่วนแบบใหม่ และรูปแบบการลงทุนใหม่ๆ

ที่มา: https://www.textiletoday.com

แปลและเรียบเรียง: นายชาติชาย สิงหเดช – ที่ปรึกษาสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ

ธุรกิจ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรม แนวโน้มแฟชั่น แฟชั่น