หน้าแรก / THTI Insight / ข้อมูล นำเข้า-ส่งออก / สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2564

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2564

กลับหน้าหลัก
12.01.2565 | จำนวนผู้เข้าชม 683

สถานการณ์ส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2564

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยตามพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71* ในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2564 ปรับตัวลดลงร้อยละ 47.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีมูลค่า 17,550.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 9,215.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.74 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 5,571.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 26.69 โดยเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 นับตั้งแต่มีนาคมเป็นต้นมา ซึ่งเมื่อพิจารณาเฉพาะเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียว มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้าร้อยละ 24.77

ตารางที่ 1  มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2563 และปี 2564

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

สถานการณ์การส่งออก

สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุดในรอบ 11 เดือนแรกของปีนี้ คือ ทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป ด้วยสัดส่วนร้อยละ 39.54 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม มีมูลค่าลดลงร้อยละ 72.29 อันเป็นผลมาจากมูลค่าการส่งออกทองคำสะสมตลอด 3 ไตรมาสแรกปรับตัวลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยราคาทองคำในเดือนพฤศจิกายนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับราคาเฉลี่ย 1,820.23 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (https://www.kitco.com) โดยมีปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่สูงเป็นประวัติการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มลดวงเงินซื้อคืนพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการพบโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ส่งผลให้นักลงทุนเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น รวมทั้งกองทุน SPDR ที่กลับมาซื้อทองคำสุทธิตลอดเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.71

เครื่องประดับแท้ เป็นสินค้าส่งออกในอันดับ 2 ในสัดส่วนร้อยละ 33.42 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.43 โดยสินค้าส่งออกหลักคือ เครื่องประดับเงิน เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.42 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ตลาดสำคัญในอันดับที่ 1, 3 และ 4 ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.44, ร้อยละ 255.45 และร้อยละ 5.71 ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกไปยังเยอรมนีและจีน ตลาดในอันดับ 2 และ 5 ลดลงร้อยละ 5.21 และร้อยละ 34.45 ตามลำดับ การส่งออก เครื่องประดับทอง เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.81 เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญอันดับที่ 1 และ 3-5 อย่างสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และญี่ปุ่น ล้วนขยายตัวได้ร้อยละ 88.88, ร้อยละ 103.84, ร้อยละ 28.54 และร้อยละ 17.66 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปยังฮ่องกง ตลาดในอันดับ 2 หดตัวลงร้อยละ 15.39 การส่งออก เครื่องประดับแพลทินัม มีมูลค่าเติบโตร้อยละ 58.03 จากการส่งออกไปยังสิงคโปร์ สหรัฐอเมริกาสหราชอาณาจักร และฮ่องกง ตลาดในอันดับที่ 1 และ 3-5 ได้สูงขึ้นร้อยละ 144.95, ร้อยละ 137.45, ร้อยละ 67.98 และร้อยละ 47.44 ตามลำดับ ส่วนญี่ปุ่นตลาดอันดับที่ 2 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 6.40

เพชร เป็นสินค้าส่งออกรายการสำคัญในอันดับ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.05 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย ขยายตัวได้ร้อยละ 32.57 โดยเพชรเจียระไนเป็นสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.84 เนื่องจากการส่งออกไปยังอินเดีย เบลเยียม สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตลาดในอันดับ 1 และ 3-5 ได้สูงขึ้นร้อยละ 120.51, ร้อยละ 21.56, ร้อยละ 25.53 และร้อยละ 43.55 ตามลำดับ ขณะที่ฮ่องกง ตลาดในลำดับที่ 2 ลดลงร้อยละ 0.57

พลอยสี เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 4 มีสัดส่วนร้อยละ 6.76 ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับโดยรวมของไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.61 โดยสินค้าส่งออกหลักในหมวดนี้เป็น พลอยเนื้อแข็งเจียระไน (ทับทิม แซปไฟร์ และมรกต) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.88 จากการส่งออกไปยังฮ่องกง สหรัฐอเมริกา อิตาลีฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ตลาดสำคัญทั้ง 5 อันดับแรกที่ล้วนเติบโตได้ร้อยละ 37.84, ร้อยละ 4.06, ร้อยละ 41.86, ร้อยละ 106.39 และร้อยละ 19.32 ตามลำดับ พลอยเนื้ออ่อนเจียระไน มีมูลค่าลดลงร้อยละ 3.12 เนื่องจากการส่งออกไปยังฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ตลาดหลักใน 2 อันดับแรก หดตัวลงร้อยละ 14.91 และร้อยละ 41.19 ตามลำดับ ส่วนการส่งออกไปสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ตลาดในอันดับที่ 3-5 ยังสามารถขยายตัวได้ร้อยละ 64.69, ร้อยละ 350.15 และร้อยละ 80.47 ตามลำดับ

เครื่องประดับเทียม เป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.63 เติบโตร้อยละ 8.10 จากการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ตลาดในอันดับที่ 1, 2, 4 และ 5 ได้สูงขึ้นร้อยละ 76.79, ร้อยละ 67.14, ร้อยละ 23.54 และร้อยละ 5.71 ตามลำดับ ส่วนลิกเตนสไตน์ ซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกในอันดับ 1 ในปีที่ผ่านมาปรับตัวลดลงร้อยละ 51.24

มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2564 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.69 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความต่อเนื่อง โดยภาพรวมยังมีปัจจัยบวกสนับสนุนมากกว่าปัจจัยกดดัน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเมืองของหลายประเทศ การฟื้นตัวของการค้าทั้งในและนอกประเทศทำให้ภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานลดลง ระดับการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้การฟื้นตัวในหลายภาคส่วนเติบโต จึงส่งเสริมให้การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยขยายตัวได้ โดยไทยส่งออกไปยังหลายตลาดสำคัญได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อินเดีย สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เบลเยียม ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสวิตเซอร์แลนด์ ตลาดในอันดับ 1 และ 4-10 มีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 53.26, ร้อยละ 59.91, ร้อยละ 137.02, ร้อยละ 7.77, ร้อยละ 19.71, ร้อยละ 14.61, ร้อยละ 36.44 และร้อยละ 75.99 ตามลำดับ

ตารางที่ 2 มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยรายสินค้าในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2563 และปี 2564

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มูลค่าการส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา ที่สามารถเติบโตได้นั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงินและเครื่องประดับทอง ซึ่งเป็นสินค้าหลักในสัดส่วนรวมกันราวร้อยละ 77 รวมทั้งสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเพชรเจียระไน พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.44, ร้อยละ 88.88, ร้อยละ 25.53, ร้อยละ 4.06 และร้อยละ 76.79 ตามลำดับ

การส่งออกไป อินเดีย ที่มีมูลค่าสูงขึ้นนั้น เป็นผลจากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่ครองสัดส่วนสูงสุดราวร้อยละ 73 ได้สูงขึ้นร้อยละ 120.51 ส่วนสินค้าที่หดตัวในตลาดนี้ คือ โลหะเงิน พลอยก้อน และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน

ส่วนการส่งออกไปยัง สหราชอาณาจักร ขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม พลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับแพลทินัม ต่างมีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 255.45, ร้อยละ 103.84, ร้อยละ 48.52, ร้อยละ 96.36 และร้อยละ 67.98 ตามลำดับ

ขณะที่การส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ยังคงเติบโตได้นั้น เป็นผลจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับทอง รวมทั้งสินค้าสำคัญรองลงมาอย่างเพชรเจียระไน และเครื่องประดับเงินที่เติบโตได้ร้อยละ 17.66, ร้อยละ 14.03 และร้อยละ 9.84 ตามลำดับ ส่วนเครื่องประดับแพลทินัมลดลงร้อยละ 6.40

มูลค่าการส่งออกไปยัง เบลเยียม ที่เพิ่มขึ้นนั้นเนื่องมาจากการส่งออกเพชรเจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าหลักที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 86 รวมทั้งสินค้าสำคัญถัดมาอย่างพลอยเนื้อแข็งเจียระไน และเครื่องประดับทอง ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.56, ร้อยละ 91.28 และร้อยละ 67.77 ตามลำดับ

การส่งออกไป ออสเตรเลีย ยังสามารถขยายตัวได้ดี จากการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเทียม รวมทั้งพลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน ที่ต่างมีมูลค่าสูงขึ้นร้อยละ 5.71, ร้อยละ 61.45, ร้อยละ 70.64, ร้อยละ 149.30 และร้อยละ 53.89 ตามลำดับ

สำหรับการส่งออกไปยัง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเครื่องประดับทอง เพชรเจียระไน และพลอยเนื้อแข็งเจียระไน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.54, ร้อยละ 43.55 และร้อยละ 105.63 ตามลำดับ

มูลค่าการส่งออกไปยัง สวิตเซอร์แลนด์ ที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างโลหะเงิน พลอยเนื้อแข็งและเนื้ออ่อนเจียระไน และเครื่องประดับเทียม ได้สูงขึ้นร้อยละ 8,383.13, ร้อยละ 19.32, ร้อยละ 64.69 และร้อยละ 5.71 ตามลำดับ โดยสวิตเซอร์แลนด์นำเข้าโลหะเงินเพื่อสกัดสูงขึ้นจากความต้องการโลหะเงินเพื่อเก็งกำไร

ส่วนการส่งออกไปยัง ฮ่องกง ที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้าสำคัญอย่างเพชรเจียระไน เครื่องประดับทอง และพลอยเนื้ออ่อนเจียระไน หดตัวลงร้อยละ 0.57, ร้อยละ 15.39 และร้อยละ 14.91 ตามลำดับ

ขณะที่การส่งออกไปยัง เยอรมนี ปรับตัวลดลงนั้น เนื่องจากการส่งออกสินค้าหลักอย่างเครื่องประดับเงิน ที่มีสัดส่วนสูงสุดราวร้อยละ 78 รวมถึงเครื่องประดับเทียม ได้ลดลงร้อยละ 5.21 และร้อยละ 2.83 ตามลำดับ

แผนภาพที่ 1 ตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2564

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

บทสรุป

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ปรับตัวลดลงร้อยละ 47.49 แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเมื่อไม่รวมการส่งออกทองคำ พบว่า มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.69 และหากพิจารณาถึงมูลค่าส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เมื่อหักออกด้วยมูลค่าการส่งออกทองคำฯ และมูลค่าสินค้าส่งกลับจากต่างประเทศ พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.03 มีรายละเอียดดังตารางที่ 3

ตารางที่ 3 มูลค่าการส่งออกสุทธิของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2563 และปี 2564

ที่มา : กรมศุลกากร ประมวลผลโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงของไทย (ไม่รวมทองคำ) ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ที่เติบโตนั้น เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ ปัญหาความชะงักงันในอุปทานการผลิตลดน้อยลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริโภคปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงช่วงก่อนการแพร่ระบาด ด้วยปัจจัยสนับสนุนอย่างอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ทั่วถึง ทั้งยังมีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดบูสเข็มที่ 3 ในหลายประเทศ ในภาพรวมยังมีปัจจัยบวกสนับสนุนมากกว่าปัจจัยกดดันที่ส่งผลให้การบริโภคฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ โดยประเทศคู่ค้าหลักของไทยหลายตลาดมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งอัญมณีและเครื่องประดับเติบโตได้ต่อเนื่อง สำหรับสินค้าที่มีความโดดเด่นของไทย คือ เครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทอง เครื่องประดับแพลทินัม รวมทั้งเพชรเจียระไนและพลอยเนื้อแข็งเจียระไน

แม้ว่าการฟื้นตัวของการบริโภคที่เกิดขึ้น กระทั่งกลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาของหลายประเทศ โดยได้แรงสนับสนุนจากการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและการกระตุ้นผ่านนโยบายการคลัง ทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายลงได้ แต่ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงเป็นประวัติกาลนับตั้งแต่มิถุนายน 1982 ที่อัตราร้อยละ 6.8 ส่งผลให้ระดับราคาสินค้าสูงขึ้น กระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภค หากเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องอาจทำให้ธนาคารกลางต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาด หรือการยกเลิกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเร็วกว่ากำหนด จะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ-จีน ที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองและให้ความสำคัญ เช่นเดียวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดิม ยังคงเป็นเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้การประกอบธุรกิจมีความจำเป็นต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดและเพิ่มความสามารถให้กิจการสามารถทำงานร่วมกับระบบดิจิทัลได้ เพราะการเดินทางระหว่างประเทศยังมีข้อจำกัดทั้งมาตรการของแต่ละประเทศ ความกังวลใจ และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ดังนั้น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจเพื่อช่วยส่งเสริมการค้าขายและสร้างผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ยังคงเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภคอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


ศูนยข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)



*พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 71 ว่าด้วย “ไข่มุกธรรมชาติหรือไข่มุกเลี้ยง รัตนชาติหรือกึ่งรัตนชาติ โลหะมีค่า โลหะที่หุ้มติดด้วยโลหะมีค่า และของที่ทำด้วยของดังกล่าว เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณที่เป็นของเทียม เหรียญกษาปณ์”

นำเข้าส่งออกอัญมณี, อุตสาหกรรม, อัญมณีและเครื่องประดับ, GIT, สถานการณ์, การส่งออก, Export, ปี 2564, สะสม, 11 เดือน, มกราคม-พฤศจิกายน, THTI, Fashion Intelligence Unit, FIU, FIU'_65