รัฐประหารเมียนมาซ้ำเติมอุตฯสิ่งทอ
รัฐประหารเมียนมาซ้ำเติมอุตฯสิ่งทอ ขณะแบรนด์ดังโลกบอกยังเร็วเกินไปที่จะจัดทำแผนสำรองแต่จับตามองสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด
การรัฐประหารในเมียนมาเมื่อวันที่ 1ก.พ.ส่อเค้าว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอและอุตสาหกรรมรองเท้าของประเทศที่มีมูลค่า 6,000 ล้านดอลลาร์ทั้งยังคุกคามแหล่งงานสำคัญของประเทศที่ปัจจุบันบอบช้ำจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19อยู่แล้ว
หนึ่งสัปดาห์หลังจากเหล่าผู้นำพลเรือนถูกทหารจับกุมตัวในช่วงเช้าตรู่ของปฏิบัติการจู่โจมแบบไม่ทันให้ตั้งตัว บรรดาผู้เชี่ยวชาญมองว่าผลพวงของการทำรัฐประหารครั้งนี้ที่มีต่ออุตสาหกรรมสำคัญของประเทศอาจจะรุนแรง ขณะที่หลายประเทศที่สนับสนุนระบอบการปกครองประชาธิปไตยเตรียมคว่ำบาตรเมียนมา ทำให้แบรนด์สินค้าชื่อดังระดับโลกทั้งหลายที่พึ่งพาสิ่งทอเริ่มทบทวนคำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานผลิตในเมียนมาใหม่
“การรัฐประการในเมียนมาเป็นเรื่องที่น่าวิตกกังวลอย่างมาก ในระยะสั้น สมาชิกของเราจะเน้นเรื่องความปลอดภัยของบรรดาคนงาน และพันธกิจของบรรดาบริษัทที่ว่าจ้างที่มีต่อแรงงาน ส่วนในระยะกลางถึงระยะยาว การรัฐประหารครั้งนี้จะทำให้เราต้องประเมินเมียนมาใหม่ว่าเป็นหุ้นส่วนด้านการจ้างผลิตที่มีเสถียรภาพต่อไปหรือไม่” “เนท เฮอร์มาน” รองประธานอาวุโสด้านนโยบายของสมาคมสิ่งทอและรองเท้าแห่งอเมริกัน กล่าว
ถือว่าเดิมพันนี้สูงทีเดียว โดยการผลิตสิ่งทอในเมียนมาขยายตัวอย่างมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมาหลังจากดินแดนแห่งนี้หวนกลับไปเป็นประเทศที่ปกครองภายใตรัฐบาลกึ่งพลเรือนและการลงทุนของต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ธนาคารโลก เรียกขานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็น“กลไกสำคัญในการลดความยากจน” โดยอุตสาหกรรมสิ่งทอมีสัดส่วนกว่า30% ของการส่งออกของเมียนมาในปี 2562 เพิ่มขึ้นจาก 7% ในปี2554
ด้านองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ไอแอลโอ)ระบุว่า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น อุตสาหกรรมสิ่งทอและรองเท้าของเมียนมาสร้างงานเร็วกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆในระบบเศรษฐกิจ จนกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
“อุตสาหกรรมสิ่งทอ รองเท้าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมดาวเด่นของเมียนมาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประเทศนี้ ยกระดับประชาชนให้เข้าไปสู่ขั้นตอนการผลิตที่มีคุณภาพสูงขึ้นและเคลื่อนย้ายแรงงานออกจากภาคการเกษตรที่ให้ผลผลิตต่ำ”จาเร็ด บิสซิงเกอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ไอแอลโอในเมียนมา กล่าว
ข้อมูลจากสมาร์ท เมียนมา โครงการริเริ่มที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากสหภาพยุโรป (อียู)ซึ่งสนับสนุนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ระบุว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ชาวเมียนมากว่า 7 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ทำงานตามโรงงานผลิตเสื้่อผ้าเกือบ700แห่งแต่จำนวนแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอก็ลดลงไปหลายหมื่นคนเนื่องจากโรงงานต้องปิดเพราะการระบาดของโรคโควิด-19ที่ทำให้ความต้องการสิ่งทอทั่วโลกลดลงแต่ตอนนี้การที่กองทัพยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนสร้างความไม่มั่นคงแก่การเมืองในดินแดนแห่งนี้อย่างมาก
กลุ่ม“คลีน โคลธส์ แคมเปญ”ซึ่งทำหน้าที่สังเกตุการณ์สถานการณ์การชุมนุมประท้วงในเมียนมา กล่าวว่า ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้ผู้คนทั่วประเทศออกมาชุมนุมประท้วงการรัฐประหารของกองทัพนั้น คนงานหลายพันคนตามเมืองใหญ่ของเมียนมาก็พร้อมใจกันหยุดงานและออกมาร่วมชุมนุมประท้วงด้วย
แอนดรูว์ ทิลเลตต์-แซกส์ เจ้าหน้าที่ผู้จัดให้มีการเคลื่อนไหวของแรงงานในย่างกุ้ง บอกว่า สหภาพแรงงานต่างๆมีบทบาทนำในการนำมวลชนออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน
“การออกมาชุมนุมประท้วงของคนงานในภาคอุตสาหกรรม ที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานหนุ่มสาว แรงงานผู้หญิงในอุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นแรงบันดาลใจอย่างมากแก่ประชาชนทั่วไป ทำลายความกลัวในจิตใจของพวกเขาให้กล้าออกมาเรียกร้องในสิ่งที่ถูกต้องจนกลายเป็นการชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ”ทิลเลตต์-แซกส์ กล่าว
ในส่วนของแบรนด์ชั้นนำโลก ยังคงเลือกที่จะรอดูสถานการณ์ไปก่อน และเห็นว่า ยังเร็วเกินไปที่จะจัดทำแผนสำรอง ประกอบกับการตัดสัมพันธ์กับโรงงานผลิตในเมียนมาจะทำให้คนงานที่เมียนมาได้รับผลกระทบโดยตรง อย่างแฟร์ แวร์ ฟาวด์เดชัน เรียกร้องให้บรรดาแบรนด์ชั้นนำในตลาดโลกที่เป็นสมาชิก คำนึงถึงความปลอดภัยของแรงงานเป็นอันดับต้นๆ และสร้างความมั่นใจแก่แรงงานว่าบริษัทจะจ่ายเงินค่าแรงให้พวกเขาอย่างแน่นอน
ตัวแทนจากบริษัทมาร์คส แอนด์ สเปนเซอร์ ค้าปลีกชื่อดังของอังกฤษ ระบุว่ากำลังสังเกตุการณ์สถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด ส่วนเอชแอนด์เอ็ม ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกสัญชาติสวีเดน ระบุว่า บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของพนักงานเป็นหลัก พร้อมทั้งให้การสนับสนุนสิ่งของจำเป็นต่างๆเพื่อสร้างหลักประกันว่าพนักงานที่ทำงานให้บริษัทมีความปลอดภัย
“เรากำลังอยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานต่างๆของสหประชาชาติ(ยูเอ็น)องค์การด้านสิทธิมนุษยชน ตัวแทนด้านการทูต ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนและบริษัทข้ามชาติทุกแห่ง เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจในเมียนมาในอนาคต”แถลงการณ์จากบริษัทค้าปลีกสัญชาติสวีเดน ระบุ
ด้าน“เฉิง หลู” ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ให้ความเห็นทิ้งท้ายว่า สิ่งทอที่ผลิตในเมียนมาได้รับความนิยมในตลาดโลกเพราะค่าแรงงานถูก สามารถผลิตสิ่งทอคุณภาพสูงและปลอดภาษีเมื่อต้องเข้าไปขายในตลาดหลักๆ แต่เมื่อมาเจอรัฐประหาร ทำให้ธุรกิจไม่มีความมั่่นใจและท้ายที่สุดอาจทำลายอุตสาหกรรมสิ่งทอของเมียนมา
ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/922033