หน้าแรก / THTI Insight / ข่าวรายวัน / 'เทคโนโลยีบล็อกเชน'ตามรอยเพชรถึงต้นทาง

'เทคโนโลยีบล็อกเชน'ตามรอยเพชรถึงต้นทาง

กลับหน้าหลัก
03.12.2563 | จำนวนผู้เข้าชม 269

'เทคโนโลยีบล็อกเชน'ตามรอยเพชรถึงต้นทาง

เทคโนโลยีบล็อกเชน'ตามรอยเพชรถึงต้นทาง โดยคนรุ่นมิลเลนเนียลและคนเจนแซดให้ความสำคัญสูงสุดกับทุนนิยมที่มีจริยธรรมและยั่งยืน”


ผู้บริโภคหลายคนที่เคยกังวลว่า อัญมณีของตนเป็นของแท้พิสูจน์ได้หรือไม่ ตอนนี้ไม่ต้องกังวลอีกแล้ว เทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยได้ ทั้งยังช่วยให้อุตสาหกรรมอัญมณีโปร่งใสตรวจสอบได้มากขึ้น ปีนี้ทิฟฟานีแอนด์โค ร่วมกับเดอเบียร์สกรุ๊ป และผู้เล่นรายใหญ่อื่นๆ กำลังสร้างความก้าวหน้าเรื่องการตรวจสอบเพชรตลอดทั้งกระบวนการ


เว็บไซต์แชนเนลนิวส์เอเชียรายงานว่า ก่อนหน้านี้ผู้บริโภคอาจไม่เคยคิดมาก่อนว่าเพชรของตนมาจากไหน จนกระทั่งเมื่อภาพยนตร์เรื่อง Blood Diamond ออกฉายเมื่อปี 2549 และแม้การตระหนักรู้ของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นทำให้คนซื้อเพชรต้องซื้ออย่างมีจริยธรรม แต่กว่าจะรับรองได้ว่าอัญมณีในตู้โชว์ส่องประกายระยับมาจากเหมืองที่ปราศจากความขัดแย้ง เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลนัก


อย่างไรก็ตามตอนนี้พอจะมีข่าวดีอยู่บ้างว่า เรากำลังเร่งเดินหน้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ปี 2562 บริษัทอัญมณีอเมริกัน “ทิฟฟานีแอนด์โค” ประกาศว่า ปีนี้ทิฟฟานีจะเป็นบริษัทแรกของโลกที่เพชรแต่ละเม็ดของบริษัทโปร่งใสตลอดทั้งเส้นทาง ซึ่งทิฟฟานีก็ทำอย่างที่พูดจริงๆ


โครงการที่เป็นก้าวแรกนี้เรียกว่า “โครงการริเริ่มที่มาของเพชร” เริ่มต้นในปี 2562 ตรวจสอบเพชรขนาด 0.18 กะรัตขึ้นไป ถึงตอนนี้สามารถเปิดเผยสถานที่เจียระนัย ขัด รับรองคุณภาพ และประกอบเป็นเครื่องประดับด้วย สิ่งเหล่านี้มีเพียงทิฟฟานีแอนด์โคเท่านั้นที่ทำได้ เพราะบริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการโรงงานขัดเงาเพชร


ข้อมูลทั้งหมดสอบถามได้จากพนักงานขายและบนใบรับรองของทิฟฟานี ในกรณีที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของเพชรเหล่านั้น เช่น เพชรมรดกตั้งแต่ก่อนบริษัทออกนโยบายนี้ ทิฟฟานีขอให้ลูกค้าไว้ใจบริษัทที่มีการปฏิบัติเป็นเลิศในอุตสาหกรรมอัญมณี


ความพยายามของทิฟฟานีถือว่าโดดเด่นมากที่สุดในอุตสหกรรมอัญมณีที่หาความโปร่งใสได้ยาก ความเป็นไปได้ส่วนหนึ่งมาจากเทคโนโลยี ที่ต้องนำมาตอบสนองความต้องการผู้บริโภคหนุ่มสาวที่เพิ่มจำนวนขึ้น พวกเขาสนใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมาตรฐานอันดีของสินค้า


แน่นอนว่าทิฟฟานีแอนด์โคไม่ใช่บริษัทเดียวที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส เดอเบียร์สกรุ๊ปและอัลโรซา สองผู้ผลิตเพชรรายใหญ่สุดของโลกใช้แพลตฟอร์มบล็อกเชน “Tracr” ตรวจสอบที่มาของเพชร ส่วนคาเจม มายนิง และบริษัทแม่ “เจมฟิลด์ส” ใช้แพลตฟอร์มบล็อกเชน “Provenance Proof”


ตัวอย่างทั้งหมดนี้ชี้ว่า บางทีความคลุมเครือที่มีมานานในอุตสาหกรรมเพชรไม่ใช่แค่เพราะทุนนิยมสามานย์ แต่เป็นเพราะไม่มีเทคโนโลยีใหม่ก็ได้


ดร.แดเนียล ไนเฟเลอร์ กรรมการผู้อำนวยการกูเบอลิน เจมแล็บ ที่ร่วมมือกับสตาร์ทอัพ “เอเวอรเลดเจอร์” ช่วยกันพัฒนา Provenance Proof กล่าวว่า อุตสาหกรรมเพชรต้องต่อสู้เรื่องความโปร่งใสมานาน เพราะซัพพลายเชนยาวมาก แยกย่อย และซับซ้อน


“การค้าขายทำกันแบบไม่เป็นทางการ อาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ส่วนตัว กระบวนการที่เป็นทางการมีน้อยมาก”


โชคดีที่บล็อกเชนช่วยบันทึกการตามรอยเส้นทางเพชรอย่างถาวรและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลูกค้าและผู้บริโภคสุดท้ายสามารถตรวจสอบ เก็บ และค้นหาข้อมูลที่บันทึกไว้นับตั้งแต่เพชรออกจากเหมืองไปสู่มือของพวกเขา


ไนเฟเลอร์กล่าวด้วยว่าคนเดียวที่ควรกลัวความโปร่งใสใหม่น่าจะเป็นคนที่อยู่กลางกระบวนการ เช่น พ่อค้าปลีกค้าส่งที่ปั่นราคาอัญมณีโดยไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มใดๆ แต่ส่วนอื่นๆ ของอุตสาหกรรมต่างตอบรับเทคโนโลยีบล็อกเชนตามรอยเพชร เพราะเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีทำให้เพชรมีเรื่องเล่า


สำหรับผู้บริโภค ไนเฟเลอร์เชื่อว่า ราคาเพชรจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือไม่เพิ่มเลยเพราะเป็นเทคโนโลยีราคาถูกหรือฟรี “และเป็นไปได้ว่าสินค้าที่ไม่มีความโปร่งใสราคาจะตก แถมยังขายยากด้วย”


เมื่อก่อนแหล่งที่มาจะถูกคำนึงถึงในแง่ของคุณภาพอัญมณีที่ดีกว่าแหล่งอื่น อาทิ อัญมณีต้องเมียนมาไพลินต้องแคชเมียร์ มรกตต้องโคลอมเบียน้ำถึงจะงามสุดยอด แต่ผู้บริโภคทุกวันนี้คิดมากกว่าเดิม


“ความโปร่งใสทำให้ผู้บริโภคภาคภูมิใจในอัญมณีบนสร้อยคอที่มาจากแซมเบียหรือแทนซาเนีย ว่าคนทำเหมืองเพชรได้ค่าตอบแทนเหมาะสม เมื่อคนรุ่นมิลเลนเนียลและคนเจนแซดให้ความสำคัญสูงสุดกับทุนนิยมที่มีจริยธรรมและยั่งยืน แน่นอนว่าความโปร่งใสกลายเป็นความสำคัญทางการค้า”ลีน เคมป์ ซีอีโอเอเวอร์เลดเจอร์ยืนยัน


ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910810

ข่าวรายวัน,อัญมณี,เครื่องประดับ,บล็อกเชน,เพชร,จริยธรรม,ทิฟฟานี