
Basic Normal Fitted
|

Shift
|

Sheath
|
ทรงเสื้อพอดีตัว เกล็ดมาตรฐาน
|
ชุดกระโปรงทั่วไปทรงตรง ในทศวรรษ 1960 ไม่แนบเนื้อ คล้ายกับ chemise dress ของปี ค.ศ. 1957 ชุดกระโปรง shift ใช้การตีเกล็ดขึ้น แนวทแยงจากตะเข็บด้านข้าง เพื่อช่วยให้เข้ารูป
|
ชุดกระโปรงพอดีตัว แคบ ตรง มักไม่มีเอว แต่เข้ารูปด้วยการตีเกล็ดแนวตั้ง หรือใส่ขอบเอวเข้าไป กระโปรงสวมได้ไม่อึดอัดด้วยจีบแบบ inverted pleats ที่ด้านข้างหรือตรงกลางด้านหลัง นิยมในทศวรรษ 1950 และต้นทศวรรษ 1960 และกลับมานิยมอีกเป็นช่วงๆ
|

Princess
|

A-Line
|

Tunic
|
ชุดกระโปรงพอดีตัว กระโปรงบาน ไม่มีตะเข็บช่วงเอวและตัดผ้าออกเป็นแผ่น ๆ พอดีตั้งแต่ไหล่/อกถึงชายกระโปรง แบบดั้งเดิมอ้างว่าออกแบบโดย Worth และนำมาถวายให้ Empress Eugénie ประมาณค.ศ.1860 จากนั้นมามีการสวมบ้างเป็นระยะ ๆ
|
เสื้อผ้าที่ด้านล่างใหญ่กว่าด้านบน มีรูปทรงคล้ายอักษร A
|
เครื่องแต่งกายอย่างง่ายเป็นรูปตัว T เปิดส่วนหัวและแขน ความยาวมีหลายขนาด ใส่ในสมัยกรีกโบราณ /เครื่องแต่งกายมีความยาวหลายระดับตั้งแต่สะโพกจนถึงหน้าแข้ง ใช้ใส่ทับเครื่องแต่งกายอื่นๆ เช่น กางเกงขายาว กระโปรง ชุดชั้นใน หรือชุดเดรส
|

Bouffant
|

Tent
|

Jumper (& Blouse)
|
ชุดกระโปรง มีเสื้อรัดรูปและกระโปรงบาน แบบรูด จับจีบ หรือจับจีบเล็ก ๆ บางครั้งกระโปรงเป็นทรงลูกโป่ง ระฆัง หรือกรวย และอาจสวมคู่กับสุ่มกระโปรงหรือกระโปรงชั้นใน
|
ชุดแต่งกาย ทรงพีระมิด มีสายพาดไหล่ ตัวหลวม ขอบกว้าง บานออก ยาวเลยสะโพก ใส่โดยไม่ใช้เข็มขัด ไม่มีรอบเอว บางครั้งจับจีบแอกคอร์เดียน เริ่มโดย Pierre Cardin ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.1966
|
ชุดเดรสใส่ทับกับเสื้อครึ่งตัวตัวหลวม ที่มีปกคอเสื้อแบบทหารเรือหรือกะลาสีเรือ
|

Pinafore
|

Jacket dress
|

Shirt dress
|
ชุดกระโปรงสำหรับสวมคู่กับผ้ากันเปื้อนบังหน้าอก เป็นที่นิยมสำหรับเด็ก ใช้ครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1870 และต่อมาใช้กันเป็นระยะ ๆ ชุดเลียนแบบจากผ้ากันเปื้อนที่เด็ก ๆ สวม หรือเรียกว่า Alice in Wonderland, apron dress
|
ชุดกระโปรงสวมคู่กับเสื้อแจ๊คเก็ตเข้าชุดกันหรือสีตัดกัน ชุดกระโปรงมักไม่มีแขน เปิดไหล่ เมื่อสวมคู่กับเสื้อแจ๊คเก็ตทำให้เหมาะสำหรับงานธุรกิจหรือช่วงเวลาบ่าย เป็นที่นิยมตั้งแต่ทศวรรษ 1930
|
ชุดกระโปรงทรงตรง ติดกระดุมยาวลงมาด้านหน้า ตัดคล้ายกับเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย สวมแบบมีหรือไม่มีเข็มขัดคาดก็ได้ ตะเข็บข้างมักแยก และชายมน คล้ายหางเสื้อเชิ้ตของผู้ชาย เป็นที่นิยมในค.ศ.1967 ชุดเป็นแบบหนึ่งของ coat-dress คลาสสิค หรือ shirtwaist และเป็นที่นิยมเป็นช่วง ๆ
|

Peasant
|

Flappe
|

Maternity
|
ชุดกระโปรงยาว รัดเอว แขนเสื้อพองยาว คอเสื้อร้อยเชือกตกแต่งลายปัก บางครั้งใส่ผ้ากันเปื้อนหรือ เกราะผ้าลูกไม้สีดำ มาจากชุดชาวนาในยุโรปที่ใส่ในงานเทศกาล นิยมใส่เป็นเสื้อผ้าแฟชั่นระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะทศวรรษ1930 1960 และ 1970
|
ชุดเดรส ต่อสะโพก ทรงหลวม กระโปรงสั้น แรกเริ่มใส่ในปลายทศวรรษ 1920 และนำกลับมาใช้อีกในทศวรรษ 1960 และ 1990
|
ชุดกระโปรง สำหรับผู้หญิงมีครรภ์ ต้นแบบดั้งเดิมในทศวรรษ 1940 เป็นตัวหลวมจากชิ้นตัดต่อเหนืออก แต่ในทศวรรษ 1980 มีรูปแบบคล้ายเสื้อผู้หญิง เสื้อเชิ้ตหรือเสื้ออื่นๆ
|

Caftan
|

MuuMuu
|

Dashiki
|
เสื้อคลุมตัวยาว คอเสื้อผ่าหน้า มักตกแต่งด้วยลายปัก แขนเสื้อปลายบาน ยาวหรือแขนสามส่วน ซึ่งมาจากเครื่องแต่งกายในแอฟริกาเหนือหรือตะวันออกกลาง ผู้หญิงชาวอเมริกันรับมาใส่ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ใส่อยู่บ้านหรือใช้เป็นชุดราตรี
|
mu'umu'u - ชุดกระโปรงบานของหญิงชาวฮาวายพื้นเมือง ตัวหลวม ดัดแปลงจาก chemise ที่หญิงพื้นเมืองได้รับจากหมอสอนศาสนาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 สวมไว้ใต้ holoku ซึ่งเป็นเสื้อผ้าชั้นนอกมีรูปแบบมาจากยุโรป หญิงพื้นเมืองชาวฮาวายสวมเป็นชุดสำหรับว่ายน้ำและใส่นอนจนถึงต้นทศวรรษ 1930 เป็นผ้าพิมพ์ลายดอกไม้ ถูกปรับมาใช้เป็น street wear ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชุดมีความยาวที่หลากหลายและแพร่หลายไปถึงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเป็นชุดที่สวมใส่แบบสบาย ๆ เป็นคำมาจากภาษาฮาวาย หมายถึง ตัดออก
|
เครื่องแต่งกายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแอฟริกากลาง มีตั้งแต่สั้นจนถึงเต็มตัว ทรงตรง หลวม ไม่มีปกเสื้อและผ้าครอบศีรษะ แขนเสื้อหลวมโคร่ง พิมพ์ลายแบบแอฟริกัน เริ่มใช้ในสหรัฐอเมริกาในปลายทศวรรษ 1960 เป็นชุดใส่ทั่วไป เป็นที่นิยมโดยเฉพาะในชาวแอฟริกัน-อเมริกัน
|

Granny
|

Long Dinner
|
|
ชุดย้อนยุครุ่นคุณย่า ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
|
ชุดเดรส ต่างจากชุดราตรีตรงที่ไม่เปิดไหล่ มักใส่กับเสื้อนอกเข้าคู่กัน เมื่อถอดออกจะเป็นชุดเดรสทางการ เหมาะสำหรับงานเลี้ยงอาหารเย็นแบบทางการ แรกเริ่มใช้ในทศวรรษ 1930
|
|