สรท.เปิดกลุ่มสินค้าส่งออกฟื้นตัวช้า-เร็ว

กลับหน้าหลัก

สรท.เปิดกลุ่มสินค้าส่งออกฟื้นตัวช้า-เร็ว

น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สรท.ได้ประเมินสถานการณ์รายอุตสาหกรรมเป็น 3 กลุ่มถึงโอกาสในการฟื้นตัวในตลาดโลกเพื่อเสนอให้รัฐบาลหามาตรการช่วยเหลือทางด้านการเงิน

เบื้องต้นพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วสุดหรือฟื้นตัวในลักษณะรูปตัววี เริ่มตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่2-3ของปี63 มีด้วยการ 6 กลุ่ม ประกอบด้วย อาหาร, เครื่องจักร, อิเล็กทรอนิกส์,ผลิตภัณฑ์พลาสติก,ผลิตภัณฑ์ยาง (เฉพาะกลุ่มเวชภัณฑ์การแพทย์, และชิ้นส่วนยานยนต์ เนื่องจากกลุ่มคำสั่งซื้อต่อเนื่องและจะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการสินค้าในหลายๆตลาด

ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นการฟื้นตัวในลักษณะตัวยู หรือจะฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่4 ของปี 63 หรือ ไตรมาสที่ 1 ของปี 64 มีด้วยการ 8 กลุ่มอุตสาหกรกรม ประกอบด้วย ข้าว, อาหารทะเลแช่เย็น และแข่งแข็ง, น้ำตาลทราย, เครื่องใช้ไฟฟ้า, วัสดุก่อสร้าง,สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ยาง (ล้อรถ)

และกลุ่มที่ 3 มีการฟื้นตัวลักษณะรูปตัวแอล คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2 ปี 64 เป็นต้นไป มีด้วยการ6 กลุ่มอุตสาหกรรม คือ ยางพารา, มันสำปะหลัง, ยานยนต์, อัญมณี, เม็ดพลาสติก และน้ำมันสำเร็จรูป

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธาน สรท.กล่าวว่า จากการสำรวจกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆพบว่ากลุ่มที่ 2และ3 หรือกลุ่มที่มีการฟื้นตัวในรูปตัวยูและแอล มีอยู่ด้วยกน 14 อุตสาหกรมซึ่งจะมีความเสี่ยงมากเพราะส่วนใหญ่จะฟื้นตัวการส่งออกได้ในปีหน้า

ดังนั้นภาครัฐจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินกลุ่มนี้เป็นพิเศษ เพราะหากไม่สามารถส่งออกได้ผลที่ตามมาคือการขาดสภาพคล่อง การเลิกจ้างแรงงาน และในที่สุดบางรายอาจต้องปิดการได้  ขณะเดียวกันยังมีการปะเมินว่าหากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวเหมือนเดิมอาจทำให้อุตสาหกรรมส่งออกที่อยู่กลุ่ม2และ3 บางอุตสาหกรรมไม่สามารถเพิ่มออเดอร์ได้เหมือนเดิมแล้วเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้เรื่องการเงินค่อนข้างสำคัญที่สุดที่บริษัทผู้ส่งออกต้องนำมาเสริมสภาพคล่องในการประคองกิจการและจ้างงานให้อยู่ต่อไป เพราะหากคำสั่งซื้อมาเมื่อไหร่ก็สามารถเดินเครื่องผลิตและส่งออกได้ทันทีโดยไม่ต้องไปเสียเวลาในการรับสมัครพนักงานเข้ามาทำงานใหม่ อย่างไรก็ตามในส่วนของแรงงานต้องการให้ประกันสังคมเข้ามาช่วยประคองด้วยเพื่อให้บริษัทรักษาสถานะการจ้างงานไว้เหมือนเดิม

“ในกลุ่มที่3 ที่มีลักษณะฟื้นตัวแบบตัวแอลนั้นพบว่าในส่วนของยางพาราต้องรอให้อุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวก่อน เพราะน้ำยางแปรรูปประมาณ 65% นำไปเป็นผลิตภัณฑ์ล้อรถ ที่เหลือก็เป็นถุงมือแพทย์และอื่นๆ ส่วนมันสำปะหลังต้องยอมรับว่าความต้องการสินค้ายังมีต่อเนื่องแต่ปัญหาคือไม่สามารถป้อนสินค้าได้มากนักจากปัญหาภัยแล้งและการระบาดของโรคใบด่าง ขณะที่อัญมณี ต้องรอให้เศรษฐกิจดีถึงจะมีผู้บริโภคซื้อเพราะถือว่าไม่ได้เป็นสินค้าจำเป็นมากนักเมื่อเทียบกับอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น”

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economic/772958