
โอกาสและทางรอด ? ของอุตสาหกรรมฟอกหนัง
โอกาสและทางรอดของอุตสาหกรรมฟอกหนัง กับการพลิก “สิ่งเหลือใช้ไร้ค่า” ให้กลับมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
สุวัชชัย วงษ์เจริญสิน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมฟอกหนังและเครื่องหนัง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกหนังไทย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กตีแผ่รายงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหนังในสหรัฐอเมริกาที่กำลังเผชิญความยากลำบาก แม้ว่า ผู้บริโภคในสหรัฐฯ นิยมรับประทานเนื้อวัวมากขึ้นและมากที่สุดในรอบ 10 ปี แต่ “หนังวัว” ซึ่งเป็น “ผลพลอยได้” หรือ By Product ของการบริโภคอย่างคลั่งไคล้ นี้ กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ
คำถามคือ เกิดอะไรขึ้น ?
คำตอบก็คือ ผู้คนที่เคยนิยมสวมแจ็กเก็ตหรือรองเท้าหนัง เลือกที่จะซื้อเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่ผลิตจากใยสังเคราะห์ ซึ่งมีราคาถูกกว่า ดังนั้น ยิ่งบริโภคเนื้อวัวมากเท่าไหร่ ก็จะมีหนังวัวส่วนเกินมากขึ้นเท่านั้น และราคาหนังสัตว์ก็จะยิ่งดิ่งลงจนถึงขั้นไร้ค่า ต้องนำไปฝังกลบทิ้งไป ขณะที่ผู้ผลิตหนังสัตว์รายเล็กที่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ก็ต้องทยอยออกจากธุรกิจไปเรื่อยๆ
บลูมเบิร์กระบุด้วยว่า เพียง 5 ปี จากที่หนังสัตว์มีราคาสูง เพราะความแห้งแล้งที่ส่งผลต่อแหล่งอาหารของวัว ทำให้จำนวนวัวลดลง ผลักดันให้หนังวัวมีราคาสูงขึ้น จนทำให้ผู้ออกแบบรองเท้าและเสื้อผ้าต้องหาวัสดุอย่างอื่นมาใช้แทนหนังสัตว์เมื่อประกอบเข้ากับการที่ชุดกีฬาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น พร้อมๆ กับการต่อต้านการใช้หนังสัตว์ในเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า นั่นคือคำตอบที่ว่า ทำไมความต้องการหนังสัตว์จึงไม่หวนกลับมา
หนังวัวกองพะเนินที่สะสมอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกา คือสัญญาณแห่งภัยพิบัติต่อธุรกิจหนังสัตว์ จากที่หนังวัวเคยมีมูลค่าถึง50% ของมูลค่าของผลพลอยได้วัวทั้งหมด กลับลดลงเหลือเพียง 5% ของมูลค่าของผลพลอยได้ทั้งหมด โดยในบทความนี้อ้างอิงกับความเห็นของโจบรันแนนผู้จัดการฝ่ายส่งออกของTwin City Hide ในมลรัฐมินเนโซตาที่ระบุว่า “เรากำลังทิ้งผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติลงในถังขยะ”
อย่างไรก็ตาม ความต้องการหนังสัตว์คุณภาพสูงยังคงมีอยู่มาก โดยเป็นหนังสัตว์ประเภทที่ใช้ผลิตกระเป๋าถือราคาแพงหรือโซฟาระดับไฮเอนด์ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรม และสัตว์ส่วนใหญ่ไม่มีหนังสัตว์ที่สมบูรณ์แบบหรือไม่มีตำหนิเลย โดยเฉพาะสัตว์ที่มีอายุมากที่หากินตามทุ่งหญ้าเป็นเวลาหลายปีจะมีผิวคล้ำไม่สมบูรณ์
Twin City Hide ต้องหยุดซื้อหนังสัตว์คุณภาพต่ำจากบริษัทเนื้อขนาดเล็กเนื่องจากค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าจะนำมาสร้างผลตอบแทนได้ จะเห็นว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทผลิตลดลง 27% โดยมีสินค้าคงคลังจำนวน20% ที่ยังทำอะไรไม่ได้
“ไม่มีใครเสนอราคาและไม่มีใครพยายามซื้อหนังสัตว์เหล่านี้” มร.บรันแนน ผู้ซึ่งทำงานในธุรกิจหนังวัวตั้งแต่ปี 1976 กล่าว
ขณะที่ Hidenetบริษัทวิจัยตลาดเครื่องหนังระบุว่า หนังวัวที่มีตำหนิมีราคาเพียง 4ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม2019ลดลงจาก 81ดอลลาร์สหรัฐเมื่อ 5 ปีก่อน โดย Vera Dordickประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้จัดพิมพ์ของ Hidenetกล่าวเสริมว่าไม่ใช่เพียงอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาที่ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่“มันเป็นวิกฤติทั่วโลก”
“วิกฤติอุตสาหกรรมฟอกหนัง” ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของรสนิยมและการตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมทำให้อุตสาหกรรมหนังฟอกที่เก่าแก่กว่าอายุของประเทศกำลังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
แล้วทางออกของอุตสาหกรรมฟอกหนังของไทยซึ่งได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน จากบทความของบลูมเบิร์กคืออะไร
ประเด็นคือ เราควรหันกลับมาใช้หนังสัตว์ให้เกิดประโยชน์ ดีกว่าจะทิ้งไป โดยผู้ผลิตสินค้าควรคำนึงถึงการใช้วัตถุดิบทดแทน ซึ่งจะสร้างผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมอีกแบบหนึ่งแทนการใช้หนังสัตว์ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ขณะที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมฟอกหนังต้องพยายามปรับเปลี่ยนหรือวิจัยและพัฒนาให้มีสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สามารถย่อยสลายได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับการย่อยสลายของโพลียูรีเทน (พียู),พีวีซี (PVC) และใยผ้าสังเคราะห์ที่ใช้มากขึ้นในสินค้าที่หลากหลายแล้วอาจจะทำอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าการใช้หนังซึ่งเป็นซากสัตว์
ขณะเดียวกัน ภาครัฐสามารถช่วยส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการของเสียที่เกิดขึ้น ให้ใช้อย่างมีคุณค่าและไม่ควรมองว่าธุรกิจหนังสัตว์เป็นธุรกิจที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในทางกลับกันควรมองให้เป็นการส่งเสริมบริหารจัดการอย่างเป็นระบบในการใช้วัตถุดิบในประเทศให้คุ้มค่า เพราะหนังสัตว์เริ่มต้นจากของไม่มีราคา แต่เมื่อแปรรูปแล้วจะมีคุณค่าในตัวเอง ดังนั้น รัฐจึงควรส่งเสริมให้นักออกแบบ หรือผู้ผลิตสินค้าหันกลับมาใช้หนังสัตว์เพื่อช่วยสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง แทนที่จะใช้พียูหรือพีวีซีทดแทนแล้วเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมในอนาคตเพิ่มมากขึ้น
เพราะธุรกิจฟอกหนังเป็นอุตสาหกรรมเก่าแก่ ที่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับหนังดิบที่เป็น “ส่วนที่เหลือ” หรือเป็น “ผลพลอยได้” จากการขายเนื้อ มาทำให้มีคุณภาพ มีความล้ำค่า มีคุณค่าและทำให้เกิดระบบ supplier chances ในการกำจัดของเสีย แต่ในท้ายที่สุดแล้ว อุตสาหกรรมจะอยู่ได้ก็ต้องพึ่งพาแรงสนับสนุนจากผู้บริโภคที่หันกลับมาใช้สินค้าที่มีประกอบของ “หนังสัตว์” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความสมดุลของ “สิ่งเหลือใช้” และถูกทิ้งให้ไร้ค่า จากการบริโภคให้กลับมาสร้างคุณค่าและมูลค่าในระบบเศรษฐกิจ
ที่มา : https://www.banmuang.co.th/news/economy/160948